thansettakij
ผ่าโมเดล “มารีน่า เบย์ แซนด์ส” สร้างรายได้สิงคโปร์ 1.3 แสนล้าน

ผ่าโมเดล “มารีน่า เบย์ แซนด์ส” สร้างรายได้สิงคโปร์ 1.3 แสนล้าน

04 เม.ย. 2568 | 03:12 น.
อัปเดตล่าสุด :04 เม.ย. 2568 | 03:23 น.

ผ่าโมเดลรายได้ “มารีน่า เบย์ แซนด์ส” สิงคโปร์ 1.3 แสนล้านบาท ท่ามกลางการแข่งขันดุเดือด เทียบชัด ๆ หลังไทยกำลังผ่านร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร

รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร กำลังเร่งผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... หรือ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) เข้าสู่การประชุมของสภาผู้แทนราษฎร หลังจากผ่านการเห็นชอบจากชั้นของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นที่เรียบร้อย

โดยรัฐบาล ยอมรับว่า โมเดลการพัฒนาสถานบันเทิงครบวงจรนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้พิจารณาโมเดลในการทำสถานบันเทิงครบวงจร หลายประเทศ แต่หลัก ๆ จะใกล้เคียงกับสิงคโปร์ เพราะมีโมเดลการพัฒนาที่ชัดเจนหลาย ๆ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว นั่นคือ “มารีน่า เบย์ แซนด์ส”

สำหรับมารีน่า เบย์ แซนด์ส นับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลากหลายประเทศ ในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับธุรกิจและการพักผ่อน ดำเนินการโดย Marina Bay Sands Pte. Ltd. (MBS) บริษัทย่อยของ Las Vegas Sands มีการก่อสร้างโรงแรมหรูระดับโลก สูง 55 ชั้น 3 หอคอย โดยมีห้องพักและห้องสวีทกว่า 2,600 ห้อง กลายเป็นแลน์มาร์กสำคัญของสิงคโปร์ 

พื้นที่โดยรอบยังประกอบไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ทั้ง สกายพาร์ค ห้างสรรพสินค้า ศุนย์ประชุมและนิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ศิลปะและวิทยาศาสตร์ สถานที่จัดคอนเสิร์ต โรงละคร และส่วนสำคัญนั่นคือ คาสิโนระดับโลก ซึ่งนับเป็นเงินรายได้ใหม่ที่เกิดขึ้นของสิงคโปร์

สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมารัฐบาลสิงคโปร์ ล็อกใบอนุญาตคาสิโนเพียง 2 ราย จนถึงปี 2031 ส่งผลให้มารีน่า เบย์ แซนด์ส ครองส่วนแบ่งการตลาดอย่างมั่นคง แต่กำลังเดิมพันเงินลงทุนกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ (136,000 ล้านบาท) เพื่อรองรับการแข่งขันระดับภูมิภาคที่ร้อนแรงขึ้น

มารีน่า เบย์ แซนด์ส รีสอร์ทแบบครบวงจรที่เป็นสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ กลับมาทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังวิกฤตโควิด-19 ด้วยรายได้พุ่ง 53% และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นถึง 76.2% ในปี 2023 จากปีก่อน

แม้ว่าการผูกขาดตลาดคาสิโนในสิงคโปร์ยังอยู่ในมือของผู้ประกอบการเพียง 2 ราย แต่บริษัทกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่จากการแข่งขันในระดับภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น และต้องลงทุนอย่างหนักเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด

การแข่งขันในตลาด : ผูกขาดในประเทศ แข่งดุเดือดในภูมิภาค

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในตลาดคาสิโนที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดที่สุดในโลก โดยรัฐบาลอนุญาตให้มีผู้ประกอบการเพียงสองรายเท่านั้น คือ มารีน่า เบย์ แซนด์ส ที่ดำเนินการโดยบริษัท ลาส เวกัส แซนด์ส คอร์ป และรีสอร์ทเวิลด์ เซนโตซ่า ของเก็นติ้ง สิงคโปร์

ภายใต้ข้อตกลงการพัฒนาฉบับที่สองกับคณะกรรมการการท่องเที่ยวสิงคโปร์ ระบุชัดเจนว่าจะไม่มีใบอนุญาตคาสิโนมากกว่าสองใบภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมคาสิโนจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2031 ซึ่งเป็นการรับประกันว่าทั้งสองบริษัทจะยังคงผูกขาดตลาดในประเทศอย่างน้อยอีก 6 ปี

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในระดับภูมิภาคกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีผู้เล่นรายใหม่และการขยายตัวในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และเวียดนาม ขณะที่ญี่ปุ่นเพิ่งเปิดตลาดคาสิโนอย่างเป็นทางการ และมีข่าวลือว่าไทยอาจพิจารณาทำให้การพนันถูกกฎหมายในอนาคต

"การแข่งขันที่ร้อนแรงขึ้นในภูมิภาคอาจดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักเล่นระดับพรีเมียมออกจากสิงคโปร์ ส่งผลให้รายได้ลดลงในระยะยาว หากไม่มีการปรับตัว" ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมให้ความเห็น

การเงินและการลงทุน: ทุ่มงบหมื่นล้านเพื่อรักษาความเป็นผู้นำ

เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น มารีน่า เบย์ แซนด์ส กำลังทุ่มเงินลงทุนมหาศาลในการปรับปรุงและขยายทรัพย์สิน โดยมีโครงการสำคัญ 3 โครงการที่กำลังดำเนินการ ดังนี้

1.การปรับปรุงหอคอย 1 และ 2 ซึ่งใกล้เสร็จสิ้นแล้ว ด้วยงบประมาณประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (34,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับห้องพักให้เป็นห้องสวีทระดับโลก

2.การปรับปรุงหอคอย 3 ด้วยงบประมาณประมาณ 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (25,500 ล้านบาท) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2025

3.โครงการขยายมารีน่า เบย์ แซนด์ส ซึ่งจะรวมถึงหอคอยโรงแรมใหม่ สถานที่ท่องเที่ยวบนดาดฟ้า และสนามกีฬาในร่มความจุ 15,000 ที่นั่ง ด้วยงบประมาณขั้นต่ำ 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (115,600 ล้านบาท)

การลงทุนทั้งหมดนี้อาจมีมูลค่าเกินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (170,000 ล้านบาท) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับบนและเพิ่มรายได้ในระยะยาว

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2023 มารีน่า เบย์ แซนด์ส มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 6,387 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (217,158 ล้านบาท) คิดเป็น 29.3% ของสินทรัพย์รวมทั้งหมดของบริษัท ลาส เวกัส แซนด์ส คอร์ป แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสินทรัพย์นี้ต่อบริษัทแม่

รายได้ : คาสิโนยังคงเป็นเครื่องจักรทำเงินหลัก

ในปี 2023 มารีน่า เบย์ แซนด์ส มีรายได้รวม 3,849 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (130,866 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 53% จากปี 2022 โดยกิจกรรมที่สร้างรายได้มากที่สุดยังคงเป็นคาสิโน ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 70% ของรายได้ทั้งหมด

สัดส่วนรายได้ตามประเภทกิจกรรม (ปี 2023)

  • คาสิโน: 69.7% (2,681 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 91,154 ล้านบาท, เพิ่มขึ้น 59.6%)
  • ห้องพัก: 11.5% (443 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15,062 ล้านบาท, เพิ่มขึ้น 55.4%)
  • อาหารและเครื่องดื่ม: 8.9% (344 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 11,696 ล้านบาท, เพิ่มขึ้น 47.0%)
  • ศูนย์การค้า: 6.6% (254 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 8,636 ล้านบาท, เพิ่มขึ้น 12.4%)
  • การประชุม ค้าปลีก และอื่นๆ: 3.3% (127 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4,318 ล้านบาท, เพิ่มขึ้น 39.6%)

ที่น่าสังเกตคือ แม้รายได้จากศูนย์การค้าจะเพิ่มขึ้น 12.4% แต่สัดส่วนต่อรายได้รวมกลับลดลงจาก 9.0% เป็น 6.6% เนื่องจากเติบโตช้ากว่ารายได้โดยรวมที่เพิ่มขึ้น 53.0%

ในภาพรวมของบริษัท ลาส เวกัส แซนด์ส คอร์ป มารีน่า เบย์ แซนด์ส มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 37.1% ของรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท (10,372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 352,648 ล้านบาท) โดยมีสัดส่วนรายได้จากอาหารและเครื่องดื่มสูงถึง 58.9% ของรายได้ประเภทนี้ทั้งหมดของบริษัท

การจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลสิงคโปร์ : สูงขึ้นหลังปรับอัตราใหม่

มารีน่า เบย์ แซนด์ส เป็นผู้จ่ายภาษีรายใหญ่ให้กับรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งมีภาระภาษีหลายประเภท โดยในปี 2023 มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีสำคัญดังนี้

  • ภาษีสินค้าและบริการ (GST) เพิ่มจาก 7% เป็น 8% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2023
  • ภาษีคาสิโนสำหรับผู้เล่นระดับพรีเมียม เพิ่มจาก 5% เป็น 8-12% (ขึ้นอยู่กับรายได้)
  • ภาษีคาสิโนสำหรับผู้เล่นทั่วไป เพิ่มจาก 15% เป็น 18-22% (ขึ้นอยู่กับรายได้)

นอกจากนี้ ยังมีการจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,802 ล้านบาท) ในปี 2022 เพื่อต่ออายุใบอนุญาตที่จะหมดอายุในเดือนเมษายน 2025 และภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 17%

การเพิ่มขึ้นของอัตราภาษีเหล่านี้ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์ได้รับส่วนแบ่งจากความสำเร็จของมารีน่า เบย์ แซนด์ส มากขึ้น ขณะที่บริษัทยังคงสามารถรักษาผลกำไรที่แข็งแกร่งได้

สภาพแวดล้อมการแข่งขันและแนวโน้มในอนาคต : โอกาสและความท้าทาย

การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียหลังโควิด-19 สร้างโอกาสให้กับมารีน่า เบย์ แซนด์ส แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายหลายประการ

โอกาส

1.จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจาก 6.3 ล้านคนในปี 2022 เป็น 13.6 ล้านคนในปี 2023 (เพิ่มขึ้น 115.8%) แต่ยังต่ำกว่าปี 2019 ประมาณ 28.8%

2.การยกเลิกมาตรการควบคุมชายแดนที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ทั้งหมดในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ส่งผลให้การเข้าชมมารีน่า เบย์ แซนด์ส เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

3.การปรับปรุงและขยายโครงการจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวและนักเล่นระดับพรีเมียม

ความท้าทาย

1.การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจากการพัฒนาใหม่ๆ ในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น

2.ความล่าช้าในโครงการขยายมารีน่า เบย์ แซนด์ส เนื่องจากโควิด-19 และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น

3.เงินเฟ้อและต้นทุนวัสดุและแรงงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อโครงการก่อสร้างและการดำเนินงาน

4.การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวหลังโควิด-19

ความท้าทายและความเสี่ยง : เกมเดิมพันสูง

บริษัทกำลังเผชิญกับความเสี่ยงสำคัญหลายประการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในระยะยาว

1.การเปลี่ยนแปลงในกฎระเบียบ การเพิ่มขึ้นของอัตราภาษีคาสิโนและ GST ในปี 2022-2023 แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสิงคโปร์พร้อมที่จะปรับนโยบายเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลกำไรที่เพิ่มขึ้น

2.ต้นทุนโครงการที่เพิ่มขึ้น บริษัทระบุว่าต้นทุนโครงการขยายมารีน่า เบย์ แซนด์ส อาจสูงกว่าประมาณการเดิมอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเงินเฟ้อและต้นทุนวัสดุและแรงงานที่เพิ่มขึ้น

3.การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค ประเทศอื่นๆ ในเอเชียกำลังพัฒนาโครงการคาสิโนรีสอร์ทขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักเล่นพนัน

4.ความผันผวนทางเศรษฐกิจ รายได้จากคาสิโน โรงแรม และการประชุมเป็นการใช้จ่ายแบบไม่จำเป็น ซึ่งอาจได้รับผลกระทบในช่วงเศรษฐกิจถดถอย

5.เหตุการณ์ภัยพิบัติหรือการระบาดของโรค ประสบการณ์จากโควิด-19 แสดงให้เห็นว่าธุรกิจนี้เปราะบางต่อการระบาดใหญ่และเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่นๆ

อย่างไรก็ดีหากย้อนกลับมาดูโมเดลของประเทศไทย รัฐบาลมองว่า รายได้ที่จะเกิดขึ้นกับสถานบันเทิงครบวงจร จะทำเกิดการสร้าง Man-made Tourist Destination หรือสิ่งก่อสร้างใหม่ที่คนสร้างขึ้นมาแทนที่จะมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ สามารถสร้างเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่เรื่องของการลงทุนในระดับที่ไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาทเพียงแค่จุดเดียว

รวมทั้งยังมีการจ้างงานไม่ต่ำกว่าจุดละ 15,000-20,000 คน เช่นเดียวกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ตั้งแต่วัสดุก่อสร้าง ปูน ทราย ไฟฟ้า ประปา เมื่อลงทุนเสร็จแล้ว จะเป็นเงินท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น และไหลไปสู่ภาคธุรกิจอื่น ทั้งร้านอาการ และโรงแรมที่อยู่บริเวณโดยรอบอีกด้วย

ส่วนทั้งหมดจะเป็นจริงได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ ณ ตอนนี้ รัฐบาลคงต้องภาวนาให้ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เสียก่อนแล้วค่อยมาว่ากันอีกที