ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังวิกฤต อยู่ในแดนลบมากกว่าแดนบวกนับแต่ต้นปีเป็นต้นมา ซึ่งหลายฝ่ายระบุเป็นผลจากความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยที่ลดน้อยถอยลง จากความกังวลทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งความกังวลจากสงครามการค้าสหรัฐกับโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจไทยไร้แรงกระตุ้น รวมถึงการเมืองเริ่มขาดเสถียรภาพ ส่งผลนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น แม้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการออกมาตรการต่าง ๆ เข้ามากำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่องก็ตาม
“กลุ่ม ปตท.” กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของประเทศ ที่มีจำนวน 7 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบชัดเจนในครั้งนี้ จากการตรวจสอบของ “ฐานเศรษฐกิจ” พบมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ต แคป/ Market Cap)ของกลุ่ม ปตท.ช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 ลดลงกว่า 160,902 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2568 และช่วง 5 ปีนับจากนี้ 7 บริษัทในเครือมีแผนขยายลงทุนรวมกันกว่า 388,593 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มีมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 30 ธ.ค. ปี 2567 อยู่ที่ 906,875.13 ล้านบาท ล่าสุด ณ วันที่ 28 ก.พ. 2568 มีมาร์เก็ตแคปลดลง 7,140.75 ล้านบาท อยู่ที่ 899,734.38 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2567 PTT มีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท ลดลง 19.6% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 112,023.88 ล้านบาท
โดย PTT มีรายได้หลักจากกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ขณะที่ธุรกิจการกลั่นมีผลการดําเนินงานลดลง จากค่าการกลั่น (Market GRM) ที่ลดลง รวมถึงมีผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันสุทธิกับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2567 ปตท. และบริษัทย่อยมีผลขาดทุนประมาณ 13,000 ล้านบาท
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปี 2568 ปตท.จะใช้เงินลงทุน 2.5 หมื่นล้านบาท จากงบลงทุน 5 ปีที่ตั้งไว้ 5.5หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อก๊าซ ท่าเรือ เทรดดิ้ง เป็นต้น โดยถือว่าเป็นมูลค่าเงินลงทุนที่สูงมาก เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับ ปตท. ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ รวมถึงดูแลนักลงทุน และประชาชน
การลงทุนดังกล่าวถือว่าน้อยกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเป็นการปรับกลยุทธ์ไปสู่การลงทุนที่คุ้มค่า โดยไม่ใช้เงินจำนวนมาก แต่สามารถสร้างผลกำไรได้ในระดับสูง
สำหรับความคืบหน้าแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจนั้น ล่าสุดได้ยุติธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) เพื่อนำเงินไปลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในธุรกิจที่มีความชำนาญ หรือเชี่ยวชาญ รวมถึงเพิ่มพันธมิตรในธุรกิจโรงกลั่น และสำรวจปิโตรเลียม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนของการเจรจา โดยเชื่อว่าจะได้ข้อสรุปในอีกไม่ช้า
ขณะที่บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 472,428.26 ล้านบาท ล่าสุด ณ วันที่ 28 ก.พ. 2568 มีมาร์เก็ตแคปลดลง 39,699.85 ล้านบาท อยู่ที่ 432,728.41 ล้านบาทจากในปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 78,824.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.76% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 76,706.39 ล้านบาท
ปตท.สผ. ได้ตั้งประมาณการดำเนินงานปี 2568 ไว้ที่ 261,940 ล้านบาท (เทียบเท่า 7,819 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ) ซึ่งงบประมาณดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดตามผลกำไรในปีที่ผ่านมา เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนกิจกรรมการสำรวจ พัฒนา และเพิ่มอัตราการผลิตปิโตรเลียม รองรับความต้องการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน รวมทั้งลดภาระการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ
ถัดมา บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP มีมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 30 ธ.ค.2567 อยู่ที่ 63,105.85 ล้านบาท ล่าสุด ณ วันที่ 28 ก.พ. 2568 มีมาร์เก็ตแคปลดลง 12,174.40 ล้านบาท อยู่ที่ 50,931.45 ล้านบาท จากในปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 9,958.63 ล้านบาท ลดลง 48.78% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 19,443.17 ล้านบาท ซึ่งมาจากอัตราการใช้กําลังการกลั่นลดลง เนื่องจากมีการหยุดเดินเครื่องนอกแผนของหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบที่ 3 เป็นเวลา 13 วัน ในเดือนมกราคม 2567 และมีการหยุดซ่อมบํารุงตามแผนของหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบที่ 1 และหน่วยที่เกี่ยวข้อง เป็นเวลา 11 วัน ในเดือนพฤษภาคม 2567
ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์หลายผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลง ส่งผลให้ไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 455,857 ล้านบาท ลดลง 3,545 ล้านบาท นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์รับรู้ขาดทุนจากสต๊อกนํ้ามัน 5,913 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 5,105 ล้านบาทช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากราคานํ้าดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2567 ปรับลดลงจากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจใหญ่ของโลก ได้แก่ สหรัฐ และจีน
สำหรับภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 คาดว่าตลาดน้ำมันจะอ่อนตัวลงเนื่องจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากการทยอยเปิดดำเนินการของโรงกลั่นขนาดใหญ่ในจีน เม็กซิโก ไนจีเรีย และโอมาน ถึงแม้ว่าตลาดจะได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ลดลงจากสภาพอากาศหนาวเย็นในสหรัฐ ส่งผลให้โรงกลั่นหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการ อย่างไรก็ดีไทยออยล์ยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงแสวงหาโอกาสสร้างรายได้เพื่อให้มีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง
บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 159,600 ล้านบาท และ ณ วันที่ 28 ก.พ. 2568 มาร์เก็ตแคปลดลง 27,600 ล้านบาท อยู่ที่ 132,000 ล้านบาท จากในปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,650.31 ล้านบาท ลดลง 31.0% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 11,094.07 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากปริมาณจําหน่ายน้ำมันที่ลดลง และราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยปรับลดลงของกลุ่มธุรกิจ Mobility โดยรายได้ขายลดลง 7.4%
สวนทางกับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่เพิ่มขึ้น 8.2% ตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกอื่น ๆ กลุ่มธุรกิจ Global ปรับเพิ่มขึ้น 10.9% ตามปริมาณจําหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์เป็นหลัก
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ซีอีโอ โออาร์ ระบุว่า ในปี 2568 โออาร์ได้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 19,000 ล้านบาท จากงบลงทุน 5 ปีที่ 60,000 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นไปที่ Mobility เสริมความเป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมันและเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 7,600 ล้านบาท และ Lifestyles เสริมความแข็งแกร่งร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มประมาณ 7,300 ล้านบาท ส่วนงบประมาณที่เหลือจะเป็นการลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนด้านนวัตกรรม และธุรกิจใหม่
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC มีมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 107,854.65 ล้านบาท ล่าสุด ณ วันที่ 28 ก.พ. 2568 มีมาร์เก็ตแคปลดลง 28,197.30 ล้านบาท อยู่ที่ 79,657.35 ล้านบาท จากในปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 4,062.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.97% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 3,694.22 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากรายได้โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่เพิ่มขึ้น 3,057 ล้านบาท อันเนื่องมาจากปริมาณความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
GPSC ยังมุ่งพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีการเติบโตของความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าในระดับสูงมาก โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย ซึ่งในปัจจุบันทางภาครัฐของอินเดียให้การสนับสนุน ทั้งในด้านการพัฒนาระบบสายส่งและการเปิดใช้งาน Third Party Access (TPA) ต่อยอดเทคโนโลยีจ่ายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับไฟฟ้าสะอาด การส่งเสริม supply chain ภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC มีมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 25,134.34 ล้านบาท และ ณ วันที่ 28 ก.พ. 2568 มีมาร์เก็ตแคปลดลง 7,765.08 ล้านบาท อยู่ที่ 17,369.26 ล้านบาท จากในปี 2567 บริษัทขาดทุนสุทธิ 5,193.03 ล้านบาท ลดลง 77.65% จากขาดทุนสุทธิปี 2566 ที่ 2,923.17 ล้านบาท มีสาเหตุจากปริมาณขายลดลง 4% และราคาขายเฉลี่ยลดลง 2% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง
สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาดที่ลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับราคาแนฟทาปรับตัวเพิ่มขึ้น
คณะกรรมการของบริษัทได้มีมติอนุมัติแผนการลงทุน 5 ปี (2568-2572) วงเงินรวม 13,093 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนที่ขอผูกพันต่อเนื่องรวม 3,002 ล้านบาท,งบลงทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานปกติรวม 10,062 ล้านบาท และโครงการลงทุนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งรวม 29 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC มีมาร์เก็ตแคป ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 110,015.92 ล้านบาท และ ณ วันที่ 28 ก.พ. 2568 มีมาร์เก็ตแคป ลดลง 38,325.22 ล้านบาท อยู่ที่ 71,690.70 ล้านบาท จากในปี 2567 บริษัทขาดทุนสุทธิ 29,810.55 ล้านบาทลดลง 3,083% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 999.13 ล้านบาท มีปัจจัยสําคัญจากรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นที่ปรับตัวลดลงจากราคาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสําเร็จรูปและกลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่ลดลง
บริษัทได้ประมาณการงบฯลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2568-2572) จำนวนทั้งสิ้น 840 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 28,560 ล้านบาท คำนวณที่ 34 บาทต่อดอลลาร์)โดยแบ่งเป็นงบฯลงทุนของบริษัทและบริษัทย่อย (ไม่รวม Allnex) จำนวน 183 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และงบฯลงทุนของบริษัท Allnex จำนวน 657 ล้านดอลลาร์สหรัฐ