คุมเข้ม "ทุนจีน" ยึด "มหาวิทยาลัยเอกชนไทย"

24 ม.ค. 2568 | 04:07 น.

ปลัดกระทรวงอว. เผย พบทุนจีบฮุบ 3 มหาลัยเอกชนไทย จับตาเข้ม หวั่นใช้สถานะนักศึกษาแฝงมาทำงาน จ่องัดมาตรการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือขอใบอนุญาตธนาคาร ที่ต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินทุน ป้องกันการใช้นอมินี

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงในบริบทโลก ทั้งความตึงเครียดทางการเมือง วิกฤตเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายการศึกษาที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศตะวันตก ได้ผลักดันให้นักเรียนชาวจีนมองมายังอาเซียนในฐานะจุดหมายปลายทางใหม่สำหรับการศึกษา โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีการเพิ่มขึ้นของนักเรียนและนักศึกษาจีนจำนวนมาก 

 

จากข้อมูลในปี 2565 พบว่า นักศึกษาต่างชาติที่เรียนในไทยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจีน โดยมีจำนวนถึง 21,419 คน เพิ่มขึ้นถึง 130% จาก 9,329 คนในปี 2555 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลจากระบบการศึกษาที่เปิดกว้าง ค่าเล่าเรียนที่ต่ำกว่า และการดำเนินการด้านวีซ่าที่ไม่ซับซ้อน 

แนวโน้มดังกล่าว จึงทำให้ทุนจีนที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยไม่เพียงเข้ามาลงในอุตสาหกรรมที่หลากหลายแล้ ยังพบว่าแวดวงการศึกษาในประเทศไทยในปัจจุบันยังพบว่า มีกลุ่มนักลงทุนจีนได้เข้าไปถือหุ้นในมหาวิทยาลัยเอกชนแล้วหลายแห่ง

 

ทุนจีนฮุบ 3มหาลัย

 

ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรร ม(อว.) ที่ให้สัมภาษณ์สื่อในเครือเนชั่นว่า ปัจจุบันพบการเข้ามาถือหุ้นของกลุ่มทุนจีนในมหาวิทยาลัยเอกชนแล้วอย่างน้อย 3 แห่ง นั่นคือ

  • มหาวิทยาลัยเกริก
  • มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
  • มหาวิทยาลัยชินวัตร

ซึ่งกระทรวงได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเข้มงวดในการกำกับดูแลผ่านพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ทั้งในด้านหลักสูตร การเงิน และการบริหารจัดการ 

“เรามีการติดตามอย่างต่อเนื่องในทุกมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะประเด็นที่น่ากังวลคือ จำนวนนักศึกษาจีนที่เข้ามาเรียนค่อนข้างมาก ต้องตรวจสอบว่ามี การเรียนจริงหรือไม่ หรือเป็นการแอบแฝงเข้ามาทำงาน รวมถึงการตรวจสอบเรื่องคุณภาพการศึกษา การใช้เงินกองทุน และความผิดปกติต่างๆ”ปลัดอว.กล่าว

 

ปัจจุบันมีหลายกรณีที่อยู่ในการเฝ้าระวังของกระทรวง อว. อาทิ กรณีมหาวิทยาลัยชินวัตร ที่เคยเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัย เมธารัถ แต่ภายหลังขอเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิม ซึ่งที่ผ่านมา กรรมการสภามหาวิทยาลัยที่มีตัวแทนของกระทรวง ได้เข้าตรวจสอบและพบความผิดปกติบางประการ จึงสั่งให้แก้ไข 

 

นอกจากนี้ยังมีกรณีของมหาวิทยาลัยเกริก ที่มีการเข้ามาลงทุนจีน โดยได้ซื้อกิจการวิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง เพื่อเป็นสาขาวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย รวมถึงมีข่าวว่า การซื้อกิจการของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ที่จะมีการขายหุ้นให้กับนักลงทุนจีนเช่นกัน 

 

คุมเข้ม \"ทุนจีน\" ยึด \"มหาวิทยาลัยเอกชนไทย\"

 

จ่อสอบที่มาแหล่งเงิน

 

ดร.ศุภชัยยอมรับว่า แม้กฎหมายจะให้ความยืดหยุ่นเพื่อให้สถาบันสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่จำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในการกำกับดูแล โดยเฉพาะสถาบันที่มีต่างชาติถือหุ้น ซึ่งต้องมีการตรวจสอบที่มาของเงินลงทุนอย่างละเอียด เช่นเดียวกับมาตรฐานการกำกับดูแลสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย 

 

“เราอาจต้องพิจารณาใช้มาตรการคล้ายกับการขออนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือการขอใบอนุญาตธนาคาร ที่ต้องมีการตรวจสอบที่มาของเงินทุนอย่างละเอียด และผู้ถือหุ้นต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด เพื่อป้องกันการใช้ตัวแทน (nominee) มาถือหุ้นแทน” ปลัด อว. ระบุ 

 

ปลัด อว. กล่าวอีกว่า ตามมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน กำหนดให้มหาวิทยาลัยเอกชนต้องจัดสรรทุนเป็น 6 กองทุน ได้แก่

  1. กองทุนทั่วไป
  2. กองทุนทรัพย์สินถาวร
  3. กองทุนวิจัย
  4. กองทุนห้องสมุดและเทคโนโลยี
  5. กองทุนพัฒนาบุคลากร
  6. กองทุนสงเคราะห์

เพื่อเป็นหลักประกันในการดำเนินงานและดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทั้งนักศึกษา คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลนักศึกษาและบุคลากรในกรณีที่เกิดปัญหา โดยต้องจัดสรรกำไรเข้ากองทุนตามสัดส่วนที่กำหนด 

 

“มาตรการนี้เป็นบทเรียนจากกรณีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในอดีตที่ปิดกิจการ ทำให้เกิดภาระในการดูแลนักศึกษาและบุคลากรจำนวนมาก หากพบการดำเนินการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์และผิดปกติ จะมีการแจ้งเตือน หากเตือนแล้วไม่ดำเนินการแก้ไขกระทรวงมีอำนาจในการเข้าควบคุม” 

 

งัดคุมมาตรการเข้มงวด

 

อย่างไรก็ตามในอีกมุมหนึ่ง ดร.ศุภชัย มองว่า การลงทุนจากต่างชาติยังเป็นโอกาสที่จะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการศึกษา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีความตึงเครียด ทำให้ไทยมีโอกาสในการดึงดูดนักศึกษาคุณภาพจากจีนให้เข้ามาเรียนและทำงานในไทย 

 

“เรากำลังผลักดันนโยบาย Study in Thailand เพื่อดึงดูดนักศึกษาต่างชาติที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐมนตรี โดยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับสถาบันการศึกษาชั้นนำจากต่างประเทศ เราต้องการให้ไทยเป็น Regional Education Hub แต่ต้องเป็นการร่วมมือกับสถาบันที่มีคุณภาพ และต้องมีการควบคุมมาตรฐานอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาการศึกษาของประเทศ” ปลัด อว.กล่าวทิ้งท้าย 

 

ในการออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษาที่มีต่างชาติถือหุ้น ปลัด อว. ยอมรับว่า ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติระหว่างสถาบันที่มีต่างชาติถือหุ้นกับสถาบันของคนไทย และต้องสอดคล้องกับกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับฝ่ายกฎหมายเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม 

 

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มาตรา 84 ระบุว่า ในกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดนั้น ให้คณะกรรมการเตือนเป็นหนังสือให้ปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ตามที่แจ้งไปภายในเวลาที่กำหนด

 

ถ้าหากสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นไม่ดำเนินการตาม ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้งดรับนักศึกษาในสาขาวิชาใดสาขาวิชาหนึ่งหรือทุกสาขาวิช เพิกถอน การรับรองวิทยฐานะ และเพิกถอนใบอนุญาตตามลำดับ 

 

แกะรอย 3 มหาลัยทุนจีน

 

ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกล่าสุดของมหาวิทยาลัยเอกชน 3 แห่ง ผ่านระบบการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ Creden Data จากฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงสร้างบริษัทที่บริหารงานมหาวิทยาลัย เอกชนทั้ง 3 แห่ง ดังนี้

 

มหาวิทยาลัยเกริก

 

ดำเนินการในนามบริษัท เกริก สุวรรณี และบุตร จำกัด จดทะเบียนตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2558 เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา ปริญญาตรี โดยข้อมูล ณ วันที่ 22 ม.ค. 68 พบว่า มีกรรมการบริษัท 3 คน ประกอบด้วยนายกระแส ชนะวงศ์, นายหวัง ฉางหมิง และ นางกนกวรรณ หลี่ 

 

ขณะที่โครงสร้างการถือหุ้นมีด้วยกัน 2 ราย คือ บริษัทเกริก อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่นโฮลดิ้งจำกัด สัญชาติไทย ถือหุ้นในสัดส่วน 100% จำนวน 299,998 หุ้น ส่วนอีกรายคือ นางกนกวรรณ ถือหุ้นจำนวน 2 หุ้น 

 

ทั้งนี้บริษัทเกริก สุวรรณี และบุตรจำกัด ยังเข้าไปถือหุ้น 3 บริษัทหลัก 3 บริษัทย่อย นั่นคือ บริษัท หมิงจ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง กรุ๊ป จำกัด สัดส่วน 30% จำนวน 48,000 หุ้น และบริษัท หมิงจ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่น (ประเทศไทย)จำกัด สัดส่วน 2% จำนวน 6,000 หุ้น และ บริษัทเกริก อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่น โฮลดิ้งจำกัด สัดส่วน 2% จำนวน 12,000 หุ้น 

 

สำหรับบริษัทเกริก อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่น โฮลดิ้งจำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเกริก สุวรรณี และบุตรจำกัดนั้น ปรากฎรายชื่อกรรมการ /คือ คือนายหวัง ฉางหมิง และนางกนกวรรณ หลี่ ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นของเกริก อินเตอร์เนชั่นแนลฯ พบว่า มี 4 ราย ประกอบด้วย 

  1. นายหวัง ฉางหมิง สัญชาติจีน ถือหุ้นสัดส่วน 49% จำนวน 294,000 หุ้น
  2. บริษัทหมิงจ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเคชั่น (ประเทศไทย)จำกัด สัดส่วน 48% จำนวน 288,000 หุ้น
  3. บริษัทเกริก สุวรรณี และบุตรจำกัด สัดส่วน 2% จำนวน 12,000 หุ้น
  4. นางกนกวรรณ หลี่ สัดส่วน 1% จำนวน 6,000 หุ้นด้วยกัน 

 

มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด

 

ส่วนมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด ดำเนินงานโดย บริษัท ฟาร์อีสต์ แสตมฟอร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยข้อมูล ณ วันที่ 22 ม.ค. 68 พบว่า บริษัทได้จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2537 แจ้งดำเนินธุรกิจการศึกษาระดับอุดมศึกษา ปริญญาตรี มีกรรมการ 4 คน คือ

  1. นายกวางยู ลี
  2. นางสาวหัว ลี
  3. นางสาวหงจิน ชิว
  4. นางสาวเยี่ยนตัน เหริน 

ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้น

  1. บริษัทไทย เอ็ดยูเคชั่น โฮลดิ้งส์จำกัด สัญชาติไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด สัดส่วน 92.87% จำนวน 3,714,998 หุ้น
  2. บริษัทไชน่า หยู่ฮว่า เอ็ดยูเคชั่น อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ดจำกัด สัญชาติจีน สัดส่วน 7.13% จำนวน 285,001 หุ้น
  3. สุธีรัตต ยศยิ่งยวด ถือหุ้นจำนวน 1 หุ้น 

สำหรับบริษัท ไทย เอ็ดยูเคชั่น โฮลดิ้งส์จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ฟาร์อีสต์ แสตมฟอร์ดฯ นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลพบรายชื่อกรรมการเหมือนกันกับบริษัท ฟาร์อีสต์ แสตมฟอร์ดฯ ทั้ง 4 คน

โดยโครงสร้างบริษัท พบว่ามีบริษัท ไซน่า หยู่ฮวา เอ็ดดูเคชั่น อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด สัญชาติจีน ถือหุ้นใหญ่สุด สัดส่วน 44.30% จำนวน 15,907 หุ้น รองลงมาคือ ทม สิริสันต์ และสุธีรัตต ยศยิ่งยวด ถือหุ้นในสัดส่วนเท่ากัน 27.85% จำนวน 10,000 หุ้น 

 

คุมเข้ม \"ทุนจีน\" ยึด \"มหาวิทยาลัยเอกชนไทย\"

 

มหาวิทยาลัยชินวัตร

 

ขณะที่มหาวิทยาลัยชินวัตร ดำเนินงานโดยบริษัทเฟธ สตาร์ (ประเทศไทย)จำกัด โดยข้อมูล ณ วันที่ 22 ม.ค. 68 พบว่า บริษัทจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2541 ชื่อเดิมบริษัทโอเอไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด แจ้งดำเนินธุรกิจกิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก มีกรรมการ 8 คน คือ

  1. นายวู เจียนเวย
  2. นายหวง จงไค
  3. นางสาวหลิว เสี่ยวหยาง
  4. นางสาวหวัง จิงซื่อ
  5. นายเซอ คุยฮง
  6. นางสาวเจิง จิง
  7. นางสาวจง ชิวเยว่
  8. นางรภัสศา รวงอ่อนนาม 

ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้น มีบริษัทโกลบอล แอดวานซ์ เลิร์นนิ่ง (ประเทศไทย)จำกัด สัญชาติไทย ถือหุ้นสัดส่วน 51% จำนวน 127,500,000 หุ้น รองลงมาคือ บริษัทโฮป เอ็ดดูเคชั่น กรุ๊ป (ฮ่องกง)จำกัด สัญชาติฮ่องกง สัดส่วน 49% จำนวน 122,499,999 หุ้น และหวัง จิงซื่อ สัญชาติจีน จำนวน 1 หุ้น