โฆษกรัฐบาล ชี้แนวโน้ม ส่งออกข้าวไทยปีนี้ ทะลุเป้า 7.5 ล้านตัน

11 ก.ย. 2565 | 10:36 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ย. 2565 | 18:06 น.

"อนุชา" โฆษกรัฐบาล เผย ม.ค.-ส.ค. 65 ไทยส่งออกข้าวแล้ว 4.75 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากปีก่อน ดันแนวโน้มส่งออกข้าวไทยปีนี้ทะลุเป้า 7.5 ล้านตัน "อิรัก" ตลาดผู้นำเข้าข้าวอันดับที่ 1 ของไทย

วันที่ 11 ก.ย.65 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงสถานการณ์การส่งออกข้าวไทยและสถานการณ์ข้าวไทย ณ เดือน ส.ค. 65 โดยคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ได้รายงานปริมาณการส่งออกข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสำคัญ (อ้างอิงข้อมูลจากกรมศุลกากรและใบอนุญาตส่งออกข้าว) ว่า

 

ในปี 2565 (ม.ค.- ส.ค.) อินเดียส่งออกข้าวได้มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ประมาณ 11.23 ล้านตัน รองลงมาได้แก่ ไทย 4.75 ล้านตัน เวียดนาม 4.25 ล้านตัน ปากีสถาน 2.47 ล้านตัน และสหรัฐฯ 1.49 ล้านตัน ตามลำดับ

นายอนุชา บูรพชัยศรี

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 64 (ม.ค.-ส.ค.) ในปี 65 ไทย มีปริมาณการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น จาก 3.10 ล้านตัน เป็น 4.75 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.23 โดยมีปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทที่อยู่ในระดับอ่อนค่า เมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ราคาข้าวไทยอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ มีราคาใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญ เช่น เวียดนาม เมียนมา ผู้นำเข้าข้าวจึงให้ความสนใจนำเข้าข้าวไทยเพิ่มขึ้น

 

อีกทั้งการส่งออกข้าวของไทยไปยังกลุ่มประเทศผู้นำเข้าในภูมิภาคตะวันออกกลางโดยเฉพาะอิรัก ยังมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ การส่งออกข้าวไทยในช่วงที่ผ่านมานั้น เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้มีการนำเข้าข้าวไทยไปใช้ทดแทนข้าวสาลีและข้าวโพดในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นด้วย
 

นายอนุชา กล่าวถึง การส่งออกข้าวของไทยจำแนกตามชนิดข้าว ในช่วง ม.ค.-ก.ค. 65 ไทยมีปริมาณการส่งออกข้าวรวม 4.09 ล้านตัน โดยส่งออกข้าวขาวเป็นอันดับหนึ่ง จำนวน 1.93 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47.19 ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย 0.98 ล้านตัน (23.96%) ข้าวนึ่ง 0.70 ล้านตัน (17.11%) ข้าวหอมไทย 0.28 ล้านตัน (6.85%) ข้าวเหนียว 0.16 ล้านตัน (3.91%) และข้าวกล้อง 0.03 ล้านตัน (0.73%) ตามลำดับ

 

โดยประเทศที่นำเข้าข้าวที่สำคัญ "ข้าวขาว" ได้แก่ อิรัก จีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ โมซัมบิก อังโกลา มาเลเซีย แคเมอรูน สหรัฐฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนประเภท "ข้าวหอมมะลิไทย" ได้แก่ สหรัฐฯ เซเนกัล ฮ่องกง จีน แคนาดา สิงคโปร์ โกตดิวัวร์ เยเมน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝรั่งเศส ส่วนตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทยแบ่งตามภูมิภาค ปี 2565 (ม.ค.-ก.ค.) อันดับหนึ่ง คือ ภูมิภาคแอฟริกา คิดเป็นสัดส่วน 29.83% ของปริมาณการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมาได้แก่ ตะวันออกกลาง 26.89% เอเชีย 23.23% อเมริกา 12.96% ยุโรป 4.40% และโอเชียเนีย 2.69% ตามลำดับ

 

นายอนุชา กล่าวต่อไปถึงแนวโน้มสถานการณ์การส่งออกข้าวไทย ว่า เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ ได้หารือและเห็นชอบร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ให้ปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยปี 2565 จากเดิมที่กำหนดไว้ปริมาณ 7 ล้านตัน เป็น 7.5 ล้านตัน ซึ่งหากการส่งออกข้าวไทยเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะทำให้ไทยสามารถส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.05 จากปีก่อน

 

โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ก.ค.) ไทยส่งออกข้าวได้ปริมาณ 4.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.76 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว ทำให้การส่งออกข้าวไทยในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ ปริมาณน้ำฝนและน้ำในอ่างเก็บน้ำมีเพียงพอต่อการเพาะปลูก ทำให้มีผลผลิตมาก ราคาข้าวไทยอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ค่าเงินบาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่อ่อนค่า

 

การฟื้นตัวของตลาดอิรักต่อการส่งออกข้าวไทย ทำให้ไทยส่งออกข้าวไปยังอิรักได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เฉลี่ยมากกว่า 100,000 ตันต่อเดือน และทำให้อิรักกลายมาเป็นตลาดผู้นำเข้าข้าวอันดับที่ 1 ของไทย และมีการนำเข้าข้าวเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศเพิ่มขึ้น


“นอกจากนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คาดการณ์สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวไทย ปี 2565/66 รอบที่ 1 มีพื้นที่เพาะปลูกข้าว 62.84 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.02 ล้านไร่ พื้นที่เก็บเกี่ยว 60.58 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.73 ล้านไร่ และผลผลิต 26.92 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.55 ล้านตันข้าวเปลือก

 

เนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนเพียงพอต่อการเพาะปลูก ประกอบกับราคาข้าวเปลือกยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี จึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรเพาะปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อุตสาหกรรมข้าวไทยมีโอกาสและปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้เติบโต ทั้งด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย

 

ความเชื่อมั่นต่อมาตรฐานของข้าวไทยที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาข้าวไทยสามารถแข่งขันได้ และเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะกำกับให้ทุกฝ่ายร่วมกันส่งเสริมศักยภาพด้านการผลิตและการส่งออกข้าวของไทย ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขด้านการผลิตและการส่งออกอย่างเคร่งครัด เพื่อคงคุณภาพข้าวไทยในตลาดโลกให้ดีอยู่เสมอ

 

รวมทั้งรัฐบาลจะเร่งรัดผลักดันศักยภาพการส่งออกข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง” นายอนุชา กล่าว