รัฐบาลปลื้ม แผนคืบหน้ารถไฟฟ้า 3 สาย เล็งทดสอบเดินรถ ต.ค.นี้

05 ก.ย. 2565 | 13:52 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ก.ย. 2565 | 20:57 น.

“รัฐบาล” เปิดความคืบหน้ารถไฟฟ้า 3 สาย ชมพู-เหลือง-ส้ม ลุยทดสอบเดินรถภายในเดือน ต.ค.นี้ เตรียมเปิดให้บริการในปี 66 ดันระบบสาธารณะหลัก แก้ปัญหารถติดกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงความก้าวหน้าการก่อสร้างรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบด้วย 1.โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) 2.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง 3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี

สำหรับการก่อสร้างทั้ง 3 โครงการมีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผนงาน โดยโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี มีแผนสำหรับการทดสอบเดินรถเสมือนจริง (Trial Run) ซึ่งจะเริ่มภายในเดือน ตุลาคม 2565 นี้ ก่อนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทั้งสองเส้นทางในปี 2566

 

 

นายอนุชา กล่าวต่อว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีความก้าวหน้าผลการดำเนินงาน 95.94% เร็วกว่าแผน 0.24% ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง มีความก้าวหน้าผลการดำเนินงาน งานโยธา 94.99% งานระบบรถไฟฟ้า M&E มีความก้าวหน้า 93.99% ความก้าวหน้าโดยรวม 94.56% ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี มีความก้าวหน้าผลการดำเนินงาน งานโยธา 91.74% งานระบบรถไฟฟ้า M&E มีความก้าวหน้า 89.39% ความก้าวหน้าโดยรวม 90.55%
 

“รัฐบาลได้ส่งเสริมและผลักดันให้ระบบขนส่งทางรางเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลัก เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อีกทั้งเป็นการรองรับการขยายตัวของเมือง และเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นโดยการก่อสร้างรถไฟฟ้าทุกโครงการ รัฐบาลได้กำชับให้มีการตรวจสอบการดำเนินการตามมาตรการป้องกัน และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ และเร่งรัดการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ ซึ่งจะสามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ในอีกไม่นานนี้ รัฐบาลยังได้เน้นเรื่องการควบคุมสถานที่ก่อสร้างให้มีผลกระทบต่อการจราจรในปัจจุบันให้น้อยที่สุด และคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนที่สัญจรด้วยเป็นสำคัญ”