ของแพง น้ำมันแพง ทำผู้บริโภคลดใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย

01 ก.ย. 2565 | 10:38 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.ย. 2565 | 20:46 น.

ของแพง น้ำมันแพง ทำผู้บริโภคลดใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย หันใช้รถยนต์ไฟฟ้า-รถสาธารณะมากขึ้น  กลุ่มคนมีเงินลดการท่องเที่ยวลง อาจกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว สนค.ภาครัฐควรรับมือกับพฤติกรรมของประชาชน

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.)  เปิดเผยว่าสนค.ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 8,363 คน ทุกอำเภอทั่วประเทศ เกี่ยวกับการปรับตัวในภาวะน้ำมันแพง พบว่า ส่วนใหญ่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำมัน โดยใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง ตามด้วยเปลี่ยนชนิดพาหนะ/วิธีการเดินทาง และเปลี่ยนชนิดน้ำมัน

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

สำหรับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดค่าใช้จ่าย พบว่า ส่วนใหญ่ใช้สินค้าฟุ่มเฟือยลดลง ตามด้วยเดินทางท่องเที่ยว และบริโภคอาหารนอกบ้านน้อยลง หากสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงยืดเยื้อ ส่วนใหญ่จะหาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้

 

 

ทั้งนี้ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและดูแลค่าบริการขนส่งสาธารณะให้เหมาะสม กระตุ้นการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว และสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากจะบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นแล้ว ยังช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ของแพง น้ำมันแพง ทำผู้บริโภคลดใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย

โดยจากเมื่อพิจารณาตามช่วงรายได้ พบว่าผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือนไปจนถึงมากกว่า100,000บาทต่อเดือน  มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลงมากที่สุด   มีการปรับเปลี่ยนไปใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น รวมถึง เปลี่ยนเวลาเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรแออัด

ของแพง น้ำมันแพง ทำผู้บริโภคลดใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเหตุว่ากลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน กลุ่มนักศึกษา และกลุ่มที่ไม่ได้ทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้บริการขนส่งสาธารณะมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ สาเหตุน่าจะมาจากการใช้บริการขนส่งสาธารณะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุด และเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำได้ ดังนั้น ภาครัฐควรให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและดูแลค่าบริการขนส่งสาธารณะให้เหมาะสม เพื่อให้กลุ่มคนดังกล่าวได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ของแพง น้ำมันแพง ทำผู้บริโภคลดใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย

ส่วนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน 3 อันดับแรก คือ ลดการใช้สินค้าฟุ่มเฟือย เช่นกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า 29.87%  ลดการเดินทางท่องเที่ยว  16.92%  และลดการบริโภคอาหารนอกบ้าน  16.25%

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้ในช่วง 40,000 – 50,000 บาท/เดือน และกลุ่มพนักงานของรัฐ มีสัดส่วนการลดการออมค่อนข้างต่ำ (ร้อยละ 0.44 และ 0.88 ตามลำดับ) สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนดังกล่าวอาจจะได้รับผลกระทบทางการเงินน้อยกว่ากลุ่มอื่น และมีรายได้ที่มั่นคง นอกจากนี้ กลุ่มผู้ที่มีรายได้มากกว่า 100,000 บาท/เดือน มีสัดส่วนการลดการเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด อาจกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ภาครัฐควรกระตุ้นการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มผู้มีรายได้สูงอย่างต่อเนื่อง

ของแพง น้ำมันแพง ทำผู้บริโภคลดใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย

ส่วนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในระยะยาว หากสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแพงยืดเยื้อ 3 อันดับแรก คือ หาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้  54.10% เปลี่ยนไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้า  15.86%  และเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้ใกล้ที่ทำงาน  11.76%

ของแพง น้ำมันแพง ทำผู้บริโภคลดใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย

“ ประชาชนส่วนใหญ่มีการปรับตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูง ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการใช้น้ำมันโดยตรง การลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น และหาอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ สำหรับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแลราคาสินค้าและบริการให้เหมาะสม เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในสินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพแล้ว ยังกำกับดูแลสินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า ชา และกาแฟ รวมถึงอาหารนอกบ้านต่าง ๆ ให้มีราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพ เพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ และสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการครองชีพควบคู่กันไป”

นอกจากนี้ หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและดูแลค่าบริการขนส่งสาธารณะให้เหมาะสม ตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเปราะบาง (กลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน กลุ่มนักศึกษา และกลุ่มที่ไม่ได้ทำงาน) เพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ควรกระตุ้นการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในกลุ่มผู้มีรายได้สูง (มากกว่า 100,000 บาท/เดือน) ซึ่งมีสัดส่วนการลดการเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด และในระยะยาวควรมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อการอำนวยความสะดวก และจูงใจให้คนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง