“สรท.” ดันจับคู่ธุรกิจไทย-ซาอุฯ ตั้งเป้าส่งออกปี 65 พุ่ง 2 พันล้านดอลลาร์

03 ส.ค. 2565 | 17:10 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ส.ค. 2565 | 08:11 น.

“สรท.” แนะไทยจับคู่ธุรกิจซาอุฯ เพิ่มช่องทางรุกต่างประเทศ เผย 4 ธุรกิจหลัก ดันมูลค่าส่งออกปี 65 แตะ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นายชัยชาญ  เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยในงานสัมมนา BIG ISSUE:The Opportunities ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ “ไทย-ซาอุฯ” ช่วงเสวนา “Go Thailand:ทัพธุรกิจไทยตะลุยซาอุฯ ว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดซาอุฯ ถือเป็นตลาดที่ไม่ใช่ขุมทรัพย์ใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการไทยเป็นผู้บุกเบิกมาเป็นระยะเวลานาน

 

ทั้งนี้การเจาะตลาดเดิม เมื่อดูในแง่บริบท หากไทยจะเข้าในตลาดซาอุฯรอบใหม่นั้นต้องใช้กลยุทธ์ด้วย โดยไทยต้องเร่งเครื่องเจาะตลาดซาอุฯให้เร็วที่สุด เพราะโอกาสไม่เคยรอใคร เห็นได้จากวิสัยทัศน์ในปี ค.ศ.2030 ของซาอุฯ พบว่าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ส่งออกสามารถรองรับได้แน่นอนคือด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยเฉพาะสินค้าต่าง ๆ ของไทยที่มีการรองรับคือด้านอาหาร 

 

หากเจาะถึงยุทธศาสตร์นั้นไทยห่างหายไปนาน แต่มีกูรูที่รู้อยู่ในไทยที่เคยบุกตลาดตะวันออกกลางและซาอุฯ เบื้องต้นสภาผู้ส่งออกฯมองว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปยังประเทศซาอุฯเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการติดต่อด้านการค้า ซึ่งจะต้องเตรียมความพร้อมการจับคู่ธุรกิจและจุดแข็งของไทยเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าในตลาดซาอุฯ

 

ทั้งนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะนำคณะภาครัฐและเอกชน เดินทางไปเยือนประเทศซาอุฯ ในวันที่ 27-31 สิงหาคม 2565 หลังจากดำเนินการลงพื้นที่แล้วเสร็จจะต้องดูการต้อนรับจากนักธุรกิจที่เป็นคู่ค้ามาเยี่ยมชมในบริษัทหรือโรงงานในไทยด้วยเช่นกัน 
 

 

นายชัยชาญ  กล่าวต่อว่า การค้าของซาอุฯในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าอาจมีการขึ้นและลง พบว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปยังประเทศซาอุฯ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 เติบโตขึ้น 11% คิดเป็นมูลค่าการการส่งออกอยู่ที่ 1,000  ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  คาดว่าภายในปี 2565 ผลจากการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยไปซาอุฯ จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากในปี 2564 มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

“สรท.” ดันจับคู่ธุรกิจไทย-ซาอุฯ  ตั้งเป้าส่งออกปี 65 พุ่ง 2 พันล้านดอลลาร์

 

“เราเชื่อว่าไทยจะสามารถจับคู่ธุรกิจและส่งออกได้ตามเป้า เพราะสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังตลาดซาอุฯมีธุรกิจที่หลากหลาย เช่น 1.ธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วน เนื่องจากมีการเดินทางมากขึ้น ทำให้การเปลี่ยนรถยนต์ใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่เป็นพระเอก 2.ธุรกิจด้านอาหาร พบว่าในช่วงที่ผ่านมาไทยมีการส่งออกไม่มาก แต่ปัจจุบัน ทางสภาฯมองว่ามีโอกาสสูงที่จะเติบโต 3.ธุรกิจเครื่องปรับอากาศ เนื่องจากสภาพอากาศของประเทศซาอุฯเป็นเมืองร้อน และ 4.ธุรกิจเคมีภัณฑ์  เช่น สี,ทินเนอร์ ที่เป็นส่วนประกอบในการก่อสร้าง เพราะฉะนั้นเรื่องวัสดุก่อสร้างเป็นอะไรที่ดี”
 

ทั้งนี้สภาผู้ส่งออกฯ มองว่าการให้ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ หากไม่ได้รับความรู้จะทำให้การลงพื้นที่หน้างานมีรับผลกระทบได้ ขณะเดียวกันไทยควรเพิ่มความรู้ความเข้าใจในตลาดซาอุฯ เพราะเป็นประเทศที่นำเข้าสินค้าเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งประเทศเขามุ่งเน้นด้านการผลิตน้ำมันและปิโตรเคมีเท่านั้น

 

แต่การนำเข้าสินค้านั้นพบว่าคู่แข่งของไทยคือ ประเทศจีนที่มีการส่งออกสินค้าไปที่แถบตะวันออกกลางและซาอุฯ มากพอสมควร อีกทั้งมีการสร้างสัมพันธไมตรีที่ดี เห็นได้ว่าสินค้าที่ส่งออกของจีนไปตลาดดังกล่าวมีสัดส่วนอยู่ที่ 20-30% ซึ่งจะต้องระวังคู่แข่งด้วย

 

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศซาอุฯค่อนข้างคงที่เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินของสหรัฐ ขณะที่ค่าเงินบาทของไทยเมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศซาอุฯ อยู่ที่ 10 บาทเท่ากับ 1 ไรยัล ซาอุดิอาราเบียน (SAR) หากจะทำให้เกิดการเติบโตในตลาดซาอุฯได้ต้องศึกษาถึงประชาชนที่อาศัยในแถบตะวันออกกลางว่าเป็นอย่างไร พบว่า ประชาชนกลุ่มชาวอาหรับ อยู่ที่ 60%  กลุ่มชาวซาอุฯ อยู่ที่ 30% และผู้ที่มาใช้แรงงาน(อินเดีย,ปากีสถาน,บังคลาเทศ) อยู่ที่ 10% 

 

“สรท.” ดันจับคู่ธุรกิจไทย-ซาอุฯ  ตั้งเป้าส่งออกปี 65 พุ่ง 2 พันล้านดอลลาร์

 

“เราต้องมุ่งเน้นเรื่องแอ็กชั่นแพลน นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากบริบทของประเทศซาอุฯมีการเติบโตอย่างรวดเร็วโดยส่วนใหญ่เป็นการขายสินค้าผ่านห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะต้องเตรียมตัวให้ดี หากไม่เตรียมตัวอาจจะมีผลกระทบตามมาได้ ทั้งนี้เราต้องสร้างความเชื่อมั่น ปัจจุบันไทยได้สร้างความสัมพันธ์ร่วมกับหอการค้าในซาอุฯแล้ว รวมทั้งจุดเด่นของไทยคือ เรื่องคุณภาพสินค้าที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งระหว่างประเทศ และท้ายที่สุดคือการรักษาให้เกิดความยั่งยืน ถือเป็นโจทย์ที่ไทยจะต้องติดต่อการเจรจาระหว่างประเทศร่วมกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีทางธุรกิจ ซึ่งไทยต้อง 1 เสมือนในครอบครัวของประเทศซาอุฯด้วย”