ค่าเงินบาท-เงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหา "อมตะ" คาดครึ่งปีหลังขายที่ดินกว่า 1 พันไร่

01 ส.ค. 2565 | 19:37 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ส.ค. 2565 | 02:37 น.

ค่าเงินบาท-เงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหา "อมตะ" คาดครึ่งปีหลังขายที่ดินกว่า 1 พันไร่ หลังรัฐบาลเปิดประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนหลายประเทศเริ่มเดินทางเข้าไทย

นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในครึ่งปีหลัง คาดการณ์ว่าจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หากรัฐบาลยังคงนโยบายเปิดประเทศ โดยคาดว่ายอดขายที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองแห่งประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมอมตะซีตี้ชลบุรี และนิคมฯอมตะซิตี้ระยอง จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

 

ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายจะอยู่ประมาณกว่า 1,000 ไร่  ซึ่งขณะนี้นักลงทุนเริ่มทยอยกลับเข้ามา หลังจากที่ไตรมาส 1-2 เป็นช่วงที่นักลงทุนอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ ลงพื้นที่จริงเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาคัดเลือกที่ดินในการประกอบการ ทำให้ในช่วงไตรมาส 3-4 เป็นช่วงที่ผู้บริหารระดับสูงเริ่มตัดสินใจ และการขายที่ดินของอมตะจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ 

อย่างไรก็ตามต้องประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญเพราะมีผลต่อการเดินทางของนักลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย

 

“ในช่วงครึ่งปีหลังจึงเป็นไฮซีซั่นของการลงทุนหรือการขายพื้นที่นิคมฯ แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่หลายปัจจัย แต่ปัจจัยหนึ่งที่เห็นว่าสำคัญนั่นคือการเดินทางมาดูพื้นที่ได้สะดวกย่อมดีกว่า โดยช่วง 2 ปีที่โควิด-19 ระบาดต่างคนต่างล็อกดาวน์ทำให้การเดินทางต้องหยุดชะงัก ดังนั้นถ้ายังคงนโยบายเปิดประเทศ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนเพราะส่วนใหญ่นักลงทุนที่เข้ามา จะมองการลงทุนในระยะยาวมากกว่า”

 

"อมตะ" คาดครึ่งปีหลังขายที่ดินกว่า 1 พันไร่

 

นายวิบูลย์ กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้มีประเทศจีนที่ยังคงใช้นโยบายซีโร่โควิด ไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ ในขณะที่บางประเทศเดินทางกลับไปแล้วต้องกักตัวนาน ทำให้เกิดความยุ่งยากของนักลงทุน  แต่ตอนนี้หลายประเทศเปิดแล้วโดยเฉพาะญี่ปุ่น การเดินทางการเจรจาจะสะดวกขึ้น ดังนั้นเชื่อว่าสถานการณ์การลงทุนในปีนี้โดยรวมจะขยายตัวมากกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 
 

ส่วนปัจจัยอัตราเงินเฟ้อ และค่าเงินบาทที่อ่อนตัว มองว่าเป็นปัจจัยระยะสั้น ไม่น่าจะยืดเยื้อ โดยอาจจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการลงทุนที่เข้ามาเน้นการผลิตเพื่อการส่งออก และเป็นการลงทุนในระยะยาว  

 

เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในนิคมฯอมตะ ที่เป็นผู้ผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 70-80%  ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะได้รับประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว  ในส่วนของสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก เชื่อว่าจะหาจุดลงตัวได้