ส่อง บ.ลูกเครือ "ชาญวีรกุล" รับประโยชน์ปลดล็อกกัญชาจริงหรือไม่ เช็คเลย

12 ก.ค. 2565 | 11:27 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ค. 2565 | 18:27 น.

ส่อง บ.ลูกเครือ ชาญวีรกุล รับประโยชน์ปลดล็อกกัญชาจริงหรือไม่ เช็คเลยที่นี่มีคำตอบ หลังจัดจัดตั้งเมื่อปี 2564 เพื่อลงทุนในธุรกิจกัญชง

หลังจากที่ชมรมแพทย์ชนบท มีการอ้างอิงถึงสื่อบางแห่งที่เผยแพร่ข้อมูลว่า บริษัทในเครือข่ายตระกูล “ชาญวีรกูล” ได้จัดตั้งบริษัทลูกเมื่อปี 2564 เพื่อลงทุนในธุรกิจ “กัญชง” โดยที่ร่างกฎหมายลูก หรือ พ.ร.บ.กัญชากัญชงฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากยังไม่ผ่านความเห็นชอบในวาระ 3 จากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

 

โดยที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว โดยระบุแค่ว่า จะให้ นพ.ยงยศ ธรรมวุฒ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้เป็นผู้ชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ของการปลดล็อคครั้งนี้ 

 

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ธุรกิจในครอบครัว “ชาญวีรกูล” ดำเนินการจริงหรือไม่

 

จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2564 บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI ซึ่งเป็นบริษัทในครอบครัว “ชาญวีรกูล” แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บอร์ดบริษัท STPI เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2564 อนุมัติหลักการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชง พร้อมทั้งอนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจดังกล่าวโดยเฉพาะ
 

บริษัทฯจึงดำเนินการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2564 ถือหุ้นโดยบริษัทฯ (STPI) 100% พร้อมด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 5 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการขยายขอบเขตการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์จากกัญชง และกระจายความเสี่ยงของการดำเนินงานของบริษัทฯ

 

สำหรับบริษัทดังกล่าว STPI แจ้งในรายงานประจำปี 2564 แก่ ตลท. โดยระบุว่า บริษัทย่อยที่ศึกษาลงทุนธุรกิจกัญชงดังกล่าวคือ บริษัท แคนนาธอรี่ จำกัด

 

บริษัทดังกล่าว จดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2564 ทุนปัจจุบัน 5 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 32/24 อาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ ชั้นที่ 3 ถนนสุขุมวิท 21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด การปลูกพืชอื่น ๆ ประเภทเครื่องเทศเครื่องหอมยารักษาโรคและพืชทางเภสัชภัณฑ์ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น

 

ส่อง บ.ลูกเครือ ชาญวีรกุล

 

รายชื่อกรรมการประกอบด้วย 

  • นายมาศถวิน ชาญวีรกูล
  • นายชำนิ จันทร์ฉาย
  • นายชวลิต ลิ่มพานิชย์
  • นางอนิลรัตน์ นิติสาโรจน์

 

นำส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2565 มีบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI ถือหุ้นใหญ่สุด 99.9994% ที่เหลืออยู่ในชื่อของนายชำนิ จันทร์ฉาย นางอนิลรัตน์ นิติสาโรจน์ และนายวรราช พรหมขุนทอง ถือคนละ 0.0002%

นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2564 มีสินทรัพย์รวม 3,352,795 บาท หนี้สินรวม 12,681 บาท มีรายได้รวม 729 บาท รายจ่ายรวม 1,659,965 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 650 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,659,886 บาท

 

สำหรับบริษัท STPI ผู้ถือหุ้นใหญ่เกือบ 100% ในธุรกิจกัญชงดังกล่าวคือบริษัทในของครอบครัวชาญวีรกูล โดยมีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล บิดานายอนุทิน เป็นประธานกรรมการบริษัท มีนายมาศถวิน ชาญวีรกูล น้องชายนายอนุทิน เป็นกรรมการผู้จัดการ มีนายชำนิ จันทร์ฉาย เป็นกรรมการ

 

ผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรก STPI ได้แก่

 

  • บลจ.เกียรตินาคินภัทร (รับโอนจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล เพื่อการจัดการทรัพย์สินของนายอนุทิน) 164.59 ล้านหุ้น คิดเป็น 10.13% ของทุนจดทะเบียน
  • บริษัท เบสท์ ควอลิตี้ สกิลส์ จำกัด 77.88 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.79%
  • นายยรรยง นิติสาโรจน์ 67.49 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.15%
  • นายชวลิต ลิ่มพานิชย์ 64.9 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.99% 
  • นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล 56.91 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.50%


STPI ซึ่งเป็นบริษัทในครอบครัวชาญวีรกูล ดำเนินการให้จัดตั้งบริษัทลูก เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจกัญชงตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2564 หรือประมาณ 6-7 เดือนก่อนหน้าที่จะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.กัญชากัญชงฯ เข้าสู่สภาฯ และก่อนหน้าจะมีการปลดล็อกกัญชากัญชงอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 9 มิ.ย. 2565

 

ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.กัญชากัญชงฯ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 2 และวาระที่ 3 โดยก่อนหน้านี้มีการยื่นร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่สภาฯเมื่อต้นปี 2565 และเพิ่งมีบรรจุนำเข้าญัตติที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2565 ก่อนที่ประชุมสภาฯจะโหวตผ่านวาระ 1