”อลงกรณ์” ประกาศนโยบายเกษตรปลอดภัย สร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2030

21 มิ.ย. 2565 | 21:16 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มิ.ย. 2565 | 04:16 น.

“อินทรีย์ - เคมี โอกาสของไทย ภายใต้วิกฤติอาหารโลก” ”อลงกรณ์” เดินหน้าประกาศนโยบายส่งเสริมเกษตรปลอดภัย ตั้งเป้าสร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2030

วันที่ 21 มิถุนายน 2565 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นประธานเปิดงานซึ่งจัดโดยกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย และเกษตรกรผู้ปลูกผักแบบ GAP พร้อมด้วย นางสาวเพชรรัตน์ เอกแสงกุล ประธานกิตติมศักดิ์ กรรมการคณะกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสุภัค เหล่าดี เลขานุการฝ่ายวิชาการ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย

”อลงกรณ์” ประกาศนโยบายเกษตรปลอดภัย สร้างรายได้  2  ล้านล้านบาท ภายในปี 2030

ดร.จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย นายสุรวุฒิ ศรีนาม เกษตรกรผู้ปลูกผักมาตรฐาน GAP ผู้แทนภาคเอกชน ภาครัฐ เกษตรกร และผู้แทนพรรคการเมือง เช่น นายอลงกรณ์ พลบุตร พรรคประชาธิปัตย์ นายสฤษฏ์พงษ์เกี่ยวข้อง พรรคภูมิใจไทย นางสาวสกุณา สาระนันท์ พรรคเพื่อไทย และ ดร. เดชรัต สุขกำเนิด พรรคก้าวไกล ร่วมแสดงวิสัยทัศน์และหาทางออกในการเพิ่มศักยภาพการผลิตวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ใช้ปัจจัยการผลิต ปุ๋ย และสารเคมีเกษตรเพื่ออาหารปลอดภัย

 

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ภายใต้วิกฤติโควิด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสงครามรัสเซีย-ยูเครน กระทบต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารและราคาอาหารแพงขึ้น ทำให้โลกเผชิญปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร ซึ่งเป็นโอกาสในวิกฤติของไทย ในฐานะที่เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรชั้นนำของโลกและเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับ 12 ของโลกจากกว่า200ประเทศ เพื่อตอบโจทย์โอกาสแห่งอนาคต พรรคประชาธิปัตย์จึงกำหนดแนวทางในการพัฒนาภาคเกษตรด้วย

 

 

ทั้งนี้ 5 เป้าหมายในการสร้างมิติใหม่จากครัวไทยสู่ครัวโลก ได้แก่

 

 1. เป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัยท็อปเทนของโลก

 

 2. เพิ่มรายได้เกษตรกร เพิ่มรายได้ส่งออกอาหาร 2 ล้านล้านภายในปี 2030

 

 3. ประเทศชั้นนำเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองและชนบท

 

 4. ลดก๊าซเรือนกระจกแก้ปัญหาโลกร้อน ตอบโจทย์Climate Change

 

 5. ร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร ขจัดความอดอยากหิวโหย

 

สำหรับนโยบายหลักๆที่ยกมาเป็นตัวอย่างเช่น

 

 1. นโยบายประกันรายได้เกษตรกรสู่การเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนด้วยการต่อยอดพัฒนาสู่เกษตรมูลค่าสูง

 

 2. นโยบายส่งเสริมเกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง  และเกษตรยั่งยืน บนฐาน คุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตร

 3. นโยบายตลาดนำการผลิต และระบบการค้าที่เป็นธรรม(Fair trade)

 4. นโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรเพื่อลดต้นทุนเพิ่มผลิตภาพการผลิต(productivity)

 5. นโยบายอาหารแห่งอนาคตเป็นทางเลือกใหม่ในการผลิตสินค้าเกษตร เช่นโปรตีนทางเลือกใหม่ ได้แก่ โปรตีนแมลง โปรตีนพืช สาหร่าย ผำ เห็ด เป็นต้น

”อลงกรณ์” ประกาศนโยบายเกษตรปลอดภัย สร้างรายได้  2  ล้านล้านบาท ภายในปี 2030

 6. นโยบายโลจิสติกส์เกษตร เชื่อมไทยเชื่อมโลกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการเปิดประตูการค้าใหม่เช่นเกตเวย์อีสาน-เหนือ -ใต้ -ออก -ตกรวมทั้งเส้นทางขนส่งใหม่ๆเช่นเส้นทางรถไฟจีน-ลาว สำหรับประเด็นเรื่องเกษตรเคมีและเกษตรอินทรีย์จะขับเคลื่อนสนับสนุนส่งเสริมเกษตรปลอดภัยด้วย 3 แนวทางไปพร้อมๆกัน ได้แก่

1.เกษตรอินทรีย์

2.เกษตรเคมี-อินทรีย์

3.เกษตรเคมี

 

ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม

 

1.เกษตรรายย่อย

2. เกษตรพาณิชย์

3.เกษตรอุตสาหกรรม

4. เกษตรส่งออก โดยจะส่งเสริมให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจเกษตรหรือนิคมเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อเป็นฐานการแปรรูปอาหารปลอดภัยใน18กลุ่มจังหวัดตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่เพื่อกระจายโอกาส การค้า การลงทุนและการจ้างงานไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ

 

 

 

“ประเทศไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีที่เป็นธาตุอาหารของพืชเมื่อปีที่แล้วกว่า 5 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ100% ขณะที่มีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพปีละ2ล้านตันมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 1.3ล้านไร่จากพื้นที่เกษตรทั้งประเทศ149ล้านไร่ กลุ่มเกษตรอินทรีย์และกลุ่มเกษตรเคมีจึงควรหันหน้าร่วมมือกันให้มากขึ้น

 

”อลงกรณ์” ประกาศนโยบายเกษตรปลอดภัย สร้างรายได้  2  ล้านล้านบาท ภายในปี 2030

โดยยึดแนวทางเกษตรปลอดภัยสู่เกษตรมูลค่าสูงเป็นสำคัญด้วยมาตรการ GAP และเกษตรกรรมยั่งยืนโดยเฉพาะในภาวะขาดแคลนอาหารทั่วโลกถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยทางด้านการส่งออกสินค้าเกษตรในฐานะครัวโลก “นายอลงกรณ์กล่าวในท้ายที่สุด