ราคาปุ๋ยเคมีไทย-โลกพุ่ง ผู้ค้าขอจับเข่าคุยพาณิชย์ ไม่ให้ขยับ-ไม่นำเข้า

28 ต.ค. 2564 | 18:33 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ต.ค. 2564 | 01:41 น.
6.6 k

ผู้ค้าปุ๋ยเคมีพล่าน ของแพง- ขาดตลาด “จีน-รัสเซีย”ผู้ผลิตใหญ่ ลดส่งออก โรงงานใหญ่ระบุยังพอมีสต๊อกเก่าพร้อมเทขาย ขณะโรงงานเล็กมองตาปริบของขาดมากว่าครึ่งปีแล้ว คาดสถานการณ์รุนแรงถึง Q1 ปีหน้า พาณิชย์ นัดสมาคมปุ๋ยถก 27 ต.ค.นี้ จับตาไม่ให้ขยับ-ไม่นำเข้า หวั่นขาดทุนอ่วม

ปัญหาปุ๋ยราคาแพงยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของเกษตรกรไทย จากโดยเฉลี่ยต้นทุนปุ๋ยเคมีคิดเป็น 19-20 % ของต้นทุนการเพาะปลูกพืชทั้งหมด ดังนั้นการที่ราคาปุ๋ยเคมียังมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรสูงขึ้นไม่หยุด ล่าสุดเรื่องนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของคนในวงการต่อเนื่อง

 

แหล่งข่าววงการค้าปุ๋ยเคมี เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจีนจำกัดการส่งออกปุ๋ยเคมี หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว และรัฐบาลสนับสนุนการปลูกพืชจีเอ็มโอเพิ่มขึ้น ขณะที่ไทยจะนำเข้าปุ๋ยที่เรียกว่าเป็นตัวกลาง สูตร 18-46-0   พอจีนส่งออกน้อยลงหรือไม่ส่งออกเลย ส่งผลให้ราคาปุ๋ยทุกสูตรในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเท่าตัว ยังผลสินค้าปุ๋ยเคมีในไทยขาดแคลนและราคาสูงตามไปด้วย สินค้าหรือสต๊อกที่มีอยู่ก็ขายแบบหมดแล้วหมดเลย

 

ประกอบกับประเทศไทยในช่วงนี้หมดฤดูการใช้ปุ๋ยมาก ๆ แล้ว ราคาปลายปีจะปรับลดลงมา ทุกบริษัทคาดการณ์กันแบบนี้ จึงยังไม่สั่งของ เพราะเวลาราคาลงบริษัทขาดทุน จากก่อนหน้านี้หลายบริษัทเข็ด จากสั่งเข้ามาแล้วปลายปีราคาลง เคยขาดทุนหนักกันมาแล้ว ก็กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

อย่างไรก็ดี เวลานี้ราคาปุ๋ยไม่ได้ปรับตัวลดลงเช่นทุกปี แต่กลับพุ่งสูงขึ้น จากโรงงานประเทศผู้ผลิตลดการผลิตจากผลกระทบโควิด และเวลานี้ราคาพลังงานทั้งน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ส่งผลให้สินค้าที่เกี่ยวเนื่อง เช่นราคาแม่ปุ๋ยยูเรียในตลาดล่วงหน้าทำลายสถิติสูงสุดในรอบ 13 ปี (กราฟิกประกอบ) และยังขึ้นไม่หยุด ทำให้ผู้นำเข้าไม่กล้าซื้อ

 

ราคาปุ๋ยเคมีไทย-โลกพุ่ง ผู้ค้าขอจับเข่าคุยพาณิชย์ ไม่ให้ขยับ-ไม่นำเข้า

 

“ตอนนี้ทำให้ปุ๋ยเคมีขาดตลาดรุนแรงมาก คาดว่าไตรมาสแรกของปี 2565 ปุ๋ยจะขาดตลาดเกือบทุกสูตร หรือถ้ามีก็มีน้อย แล้วจะแพง ตอนนี้หยุดขายหลายบริษัทแล้ว โดยเฉพาะบริษัทเล็กไม่มีของขายมาเกือบครึ่งปีแล้ว เพราะรัฐบาลควบคุมราคา ทำให้ขาดทุน ในส่วนของบริษัทยังมีสต๊อกพอขายเองได้ แต่ไม่สามารถที่จะส่งให้โรงงานเล็กขายได้เพราะของมีน้อย”

 

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับปุ๋ยเคมี “สูตร 0-0-60”  หรือ โพแทสเซียมคลอไรด์ ความจริงตัวนี้มีการนำเข้าฝั่งจากประเทศยุโรป รัสเซีย และจีน (มีเหมืองที่ลาว ส่งตรงมาขายไทย) แต่ลาว เป็นบริษัทจีน พอรัฐบาลไม่ให้ส่งออก ให้เก็บไปใช้ในประเทศทั้งหมด ทำให้ปรับราคาขึ้น หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ราคาสินค้าจะถูกมากในทุกสูตร แต่พอมาปีนี้ราคาพุ่งสูงถึง 2 หมื่นกว่าบาทต่อตัน(รวมค่าขนส่ง) ซึ่งผลจากที่จีนไม่ส่งออกปุ๋ยก็กระทบตลาดโลก และกระทบถึงไทยด้วย

 

จากปัญหาปุ๋ยขาดแคลนและสินค้านำเข้ามีต้นทุนที่สูงขึ้นมากนี้ ประมาณวันที่ 27 ตุลาคมนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ได้เชิญสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจเกษตรไทย เข้าไปหารือ โดยหากไม่ให้ปรับราคา หลายบริษัทก็คงไม่นำเข้า เพราะราคาแพงและสินค้ามีน้อย ส่วนโรงงานใหญ่ที่ยังพอมีสต๊อกคงปล่อยของเพื่อไม่ให้เสียลูกค้าประจำ

 

เปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช

 

ด้านนายเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย กล่าวว่า ในภาพรวมราคาปุ๋ยทั้งในและต่างประเทศยังไม่นิ่ง แต่ละบริษัทจะต้องตัดสินใจจะสั่งนำเข้าหรือไม่สั่งนำเข้า วันนี้สมาคมฯได้พยายามพูดกับกระทรวงพาณิชย์ว่าจะให้ทำอย่างไร เพราะถ้าไม่สามารถทำให้บริษัทพอมีกำไรและอยู่ได้ คิดว่าหลายบริษัทก็คงจะไม่สั่ง เพราะสั่งมาแล้วหากรัฐบางควบคุมราคา ก็ขายไม่ได้ จากราคาแพงเกินไปและผู้ค้าจะขาดทุน ทั้งนี้ในข้อเท็จจริงผู้ค้าก็อยากขายของ ไม่อยากที่จะปรับราคาสูงจนเกินไป จากทราบดีว่าเกษตรกรไม่มีกำลังที่จะซื้อในราคาสูงมาก

 

ประเทศจีนหันมาปลูกพืชจีเอ็มโอ ส่งเสริมให้ทำเกษตรในประเทศมากขึ้น ไม่ให้ส่งออกปุ๋ย มีการปิดท่าเรือหลายแห่ง และเก็บสต๊อกสินค้า ปล่อยให้ราคาขึ้น ส่วนรัสเซียอีกหนึ่งผู้ส่งออกปุ๋ยเคมีรายใหญ่ ตอนนี้ก็ยังมีการล็อกดาวน์ประเทศ กระทบกับการนำเข้าปุ๋ยของไทยแน่นอน”

 

นายเปล่งศักดิ์  กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาธุรกิจ “ปุ๋ยเคมี” ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองทุกยุคทุกสมัยถึงผลกระทบต่อสุขภาพ แต่ในข้อเท็จจริงหากใช้ให้ถูกต้องตามข้อกำหนดปุ๋ยเคมี ไม่เป็นอันตราย และช่วยเพิ่มผลผลิต ดังนั้นต้องยึดผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นที่ตั้ง ปัจจุบันเกษตรกรยังต้องเผชิญกับปัญหาราคาและผลผลิตต่อไร่ต่ำ ตรงนี้ควรจะมาหาทางแก้ไข ส่วนราคาปุ๋ยเป็นราคาตามตลาดโลก ผู้ค้าไม่ได้เป็นคนกำหนดราคา มีลักษณะซื้อมาขายไป ต้องขอทำความเข้าใจด้วย

 

แหล่งข่าวจากเกษตรกร  กล่าวว่า ราคาปุ๋ยที่ปรับตัวสูงขึ้นสร้างภาระเพิ่มให้เกษตรกร เวลานี้ทำให้ต้นทุนในการทำไร่นาสูงขึ้นมากถึง 500-800 บาทต่อไร่ ซึ่งหากดูจากผลผลิตข้าวต่อไร่ของชาวนาทั่วประทศเฉลี่ยเพียง 643 กิโลกรัม(กก.)ต่อไร่ ส่วนข้าวโพดได้ผลผลิตเฉลี่ยเพียง 713 กก.ต่อไร่  ถือว่ายังต่ำกว่าศักยภาพผลผลิตที่ควรได้อยู่มาก มีผลให้รายได้สุทธิหลังหักต้นทุนผลผลิตของเกษตรกรโดยเฉพาะชาวนา ชาวไร่ลดลงอย่างมาก

 

จากก่อนหน้านี้ก่อนปุ๋ยขึ้นราคารายได้ของเกษตรกรรายเล็กส่วนใหญ่ก็แทบไม่พอกินอยู่แล้ว ไหนจะมีภาระหนี้สินที่เกิดจากทำไร่ทำนารอบตัวอีก หากภาครัฐไม่หันมาปฏิรูปพัฒนาภาคเกษตรอย่างจริงจังและจริงใจแล้ว อนาคตอาชีพของเกษตรกรไทยคงต้องไปอยู่ในมือของนายทุนใหญ่อย่างแน่นอน

 

ที่มา : หน้า 9 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,726  วันที่ 28 - 3 ตุลาคม พ.ศ. 2564