ไทยยูเนี่ยนโชว์ Q2 รายได้-กำไรพุ่งกระฉูด ครึ่งปียอดขาย 6.7 หมื่นล้าน

09 ส.ค. 2564 | 13:38 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ส.ค. 2564 | 21:09 น.

ไทยยูเนี่ยนโชว์ผลงานไตรมาส 2 ยอดขาย 3.5 หมื่นล้าน โต 8.6% กำไรพุ่ง 2,346 ล้าน ชูกลยุทธ์ธุรกิจเน้นความหลากหลาย ขณะผู้บริโภคในตลาดสหรัฐและยุโรปเริ่มกลับมามีกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น ส่งผลดีธุรกิจ ผ่านครึ่งปียอดขาย 6.7 หมื่นล้าน +4.4%

 

รายงานข่าวจาก บริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เผยว่า บริษัทได้รายงานยอดขายประจำไตรมาส 2 ปี 2564 อยู่ที่ 35,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากปีก่อนหน้า โดยไทยยูเนี่ยนทำสถิติมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563 และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 19% 

 

ไทยยูเนี่ยนโชว์ Q2 รายได้-กำไรพุ่งกระฉูด ครึ่งปียอดขาย 6.7 หมื่นล้าน

 

สำหรับในช่วงไตรมาส 2 ของปี ตลาดหลัก ๆ ได้แก่ ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศในทวีปยุโรป เริ่มมีกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น เช่น การพบปะสังสรรค์ การจัดงาน รวมถึงการรับประทานอาหารนอกบ้าน  ส่งผลให้ธุรกิจบริการด้านอาหารและค้าปลีกในสหรัฐอเมริกามีการฟื้นตัว ช่วยให้ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นของไทยยูเนี่ยนอยู่ที่ 14,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 28.7 % จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจร้านอาหารในสหรัฐฯและยุโรป  นอกจากนี้บริษัทยังได้รับประโยชน์จากการที่ธุรกิจเรดล็อบเตอร์ซึ่งเป็นธุรกิจเชนร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำผลงานได้ดีขึ้นมากในไตรมาสที่ผ่านมา

 

ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญต่อเนื่องกับธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 2 นั้นส่วนหนึ่งมาจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มของอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ ของบริษัทอีกด้วย โดยเฉพาะในส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยง ได้รับอานิสงส์จากการที่ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้นและรับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้นด้วย ส่งผลให้ยอดขายของธุรกิจส่วนนี้เพิ่มขึ้น 12.5% คิดเป็นมูลค่า 5,741 ล้านบาท

 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพิ่มสูงขึ้น   ซึ่งในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 สถานการณ์ในบางประเทศเริ่มคลี่คลายและผู้บริโภคเริ่มกลับมามีกิจกรรมต่าง ๆ นอกบ้านมากขึ้น ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องลดลง 6.8% คิดเป็นมูลค่า 15,272 ล้านบาท

 

สำหรับภาพรวมในครึ่งปีแรก  ยอดขายเติบโตขึ้น 4.4% อยู่ที่ 67,007 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 51.7% อยู่ที่ 4,146 ล้านบาท เป็นผลจากการที่ไทยยูเนี่ยนยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคทั่วโลก  สำหรับครึ่งปีแรกนี้ บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอยู่ที่  0.45 บาทต่อหุ้น

 

ไทยยูเนี่ยนโชว์ Q2 รายได้-กำไรพุ่งกระฉูด ครึ่งปียอดขาย 6.7 หมื่นล้าน

 

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจของไทยยูเนี่ยนมีความหลากหลายในด้านต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดที่บริษัทมีอยู่ทั่วโลก ประเภทของผลิตภัณฑ์ และแหล่งที่มาของรายได้บริษัท และนี่คือปัจจัยที่ส่งผลให้ผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทในไตรมาสที่ผ่านมาทำผลงานได้ดี บริษัทยังคงเน้นในเรื่องของความสามารถในการทำกำไร วินัยทางการเงินและธุรกิจใหม่ ๆ ที่เพิ่มมูลค่า   ในขณะที่ความต้องการอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเริ่มปรับตัวสู่ระดับปกติ

 

ประกอบกับสถานการณ์ในประเทศที่เป็นตลาดหลักของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นฟื้นตัว  ส่งผลให้ผู้คนออกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติมากขึ้น  ตนรู้สึกภูมิใจที่สินค้าของไทยยูเนี่ยนยังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการ และยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนที่ใส่ใจสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ว่าจะใช้เวลาอยู่ที่บ้านหรือนอกบ้านก็ตาม

 

ในเดือนพฤษภาคม บริษัทได้ทำสัญญาซื้อหุ้นอีก 49% ที่เหลือของ บริษัท รูเก้น ฟิช (Rügen Fisch AG) รวมถือหุ้น 100% โดยรูเก้น ฟิช มีสำนักงานใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเยอรมนี  ล่าสุดมีผลประกอบการสูงกว่า 140 ล้านยูโร หรือประมาณกว่า 5,600 ล้านบาท และเป็นผู้นำตลาดอาหารทะเลกระป๋องในประเทศเยอรมนี 

 

ในครึ่งแรกของปี 2564  ไทยยูเนี่ยนยังคงดำเนินแผนกลยุทธ์ในการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่เน้นในเรื่องของนวัตกรรมรวมถึงสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนใน บริษัท วิอาควา บริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่พัฒนาการจัดการโรคในสัตว์น้ำ  บริษัท บลูนาลู ที่พัฒนาโปรตีนอาหารทะเลจากเซลล์เพาะเลี้ยง และบริษัท อเลฟ ฟาร์มส์ ที่พัฒนาเนื้อสเต็กจากการเพาะเลี้ยงเซลล์

 

“เราต้องการนำเสนอทางเลือกต่างๆ ให้กับลูกค้าของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และรวมไปถึงการสนับสนุนการดูแลรักษาธรรมชาติและท้องทะเล   เราจะเห็นผู้บริโภครุ่นใหม่ ๆ ทั่วโลกเริ่มเลือกทานอาหารโปรตีนจากพืชควบคู่ไปกับการรับประทานเนื้อปลาและเนื้อสัตว์อื่น ๆ  โปรตีนทางเลือกนั้นปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่น้อยกว่า และกำลังก้าวขึ้นมาเป็นส่วนสำคัญของอาหารทั่วโลก รวมถึงธุรกิจของไทยยูเนี่ยนด้วย”

 

ไทยยูเนี่ยนโชว์ Q2 รายได้-กำไรพุ่งกระฉูด ครึ่งปียอดขาย 6.7 หมื่นล้าน

 

นอกจากนี้ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรก ไทยยูเนี่ยนเดินหน้าดูแลชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ทั่วโลก ภายใต้โครงการ ไทยยูเนี่ยนแคร์ โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งกำลังเผชิญการแพร่ระบาดในรอบที่สาม  บริษัทได้บริจาคผลิตภัณฑ์อาหารมากกว่า 200,000 ชิ้น และนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้บริจาคผลิตภัณฑ์รวมมากกว่า 400,000 ชิ้น และมากกว่า 3,300,000 ชิ้นทั่วโลก ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด  การดูแลชุมชนยังรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงที่ถูกทอดทิ้ง โดยบริษัทได้บริจาคอาหารแมวเบลลอตต้าและอาหารสุนัขมาร์โวจำนวนกว่า 75,000 กระป๋อง ให้กับศูนย์พักพิงสัตว์เลี้ยง องค์กรสัตว์เลี้ยง ตลอดจนอาสาสมัครในประเทศไทยที่ช่วยเหลือสุนัขและแมวข้างถนนที่เจ็บป่วยและได้รับบาดเจ็บ

 

ไทยยูเนี่ยนได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ โรงพยาบาล และองค์กรบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ รวมถึงการสนับสนุนเครื่องควบคุมการให้ออกซิเจนแบบอัตราการไหลสูงจำนวน 20 เครื่อง และชุดตรวจโควิดแบบเร่งด่วน สำหรับใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 10,000 ชุด รวมมูลค่า 7.2 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลและจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท

 

ไทยยูเนี่ยนโชว์ Q2 รายได้-กำไรพุ่งกระฉูด ครึ่งปียอดขาย 6.7 หมื่นล้าน

 

การทำงานด้านความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ไทยยูเนี่ยน บริษัทได้ขยายการทำงานด้านการเงินสีฟ้าหรือ blue finance ที่บริหารจัดการการเงินเพื่อโครงการและการทำงานในการอนุรักษ์มหาสมุทร ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งบริษัทและอุตสาหกรรมในภาพรวม โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทได้ออกสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนเป็นครั้งแรกจำนวน 12,000 ล้านบาท และในเดือนกรกฎาคมนี้ ได้ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนเป็นครั้งแรกในประเทศไทย มูลค่า 5,000 ล้านบาท สำหรับนักลงทุนสถาบัน

 

“บริษัทมองไปยังครึ่งหลังของปี 2564  ด้วยความเชื่อว่าบริษัทมีความสามารถที่สร้างความเติบโตอย่างเข้มแข็ง แต่อย่างไรก็ดี  เรายังคงจับตาดูปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดนั้นยังมีความไม่แน่นอนรวมถึงความท้าทายต่างๆ” นายธีรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย