สุพัฒนพงษ์ยันยังไม่ปฏิเสธซื้อขายไฟฟ้าจากลาวที่เหลือ 2,300 เมกกะวัตต์

04 มี.ค. 2564 | 18:40 น.

สุพัฒนพงษ์ยันยังไม่ปฏิเสธซื้อขายไฟฟ้าจากลาวที่เหลือ 2,300 เมกกะวัตต์ ระบุต้องดูความเหมาะสมและความรคุ้มค่า

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีประกาศเจตนารมณ์การจัดการพลังงาน คุณภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อม "Breathe for future รวมพลังเพื่อลมหายใจแห่งอนาคต" ว่า ความคืบหน้าการรับซื้อไฟฟ้าจากลาว ตามกรอบความร่วมมือ(MOU)ซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยกับลาว ที่เหลืออยู่อีกประมาณ 2,300 เมกะวัตต์ จากแผนทั้งหมด 9,000 เมกะวัตต์นั้น ก็ต้องศึกษาความคุ้มค่าและความเหมาะสมก่อน ซึ่งยอมรับว่าเป็นพลังานสะอาดที่มีความต้องการอยู่แล้ว และถ้าไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนพลังงานของประเทศ ก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธ

              ส่วนกระแสเรื่องการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงโดยแนวทางของประเทศไทยการดำเนินนโยบายเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็น ศูนย์ (คาร์บอน นิวทรัล)จะต้องมีการพูดคุยกันถึงศักยภาพที่มีอยู่ และความพร้อมของการปรับตัว ซึ่งต่อจากนี้กระทรวงพลังงานจำเป็นจะต้องมีการหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหาแนวทางการดำเนินงานดังกล่าวโดยจะยกให้เป็นวาระแห่งชาติต่อไป
              ขณะที่กรณีโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนพื้นดิน(โซลาร์ฟาร์ม) ของกองทัพบก(ทบ.) ที่คาดว่าจะมีศักยภาพถึง 30,000 เมกะวัตต์จะถูกบรรจุในแผนพลังงานแห่งชาติด้วยหรือไม่นั้น จำเป็นต้องรอผลการศึกษาเพราะโครงการดังกล่าวเป็นเพียงการศึกษาเท่านั้นยังจำเป็นต้องบูรณาการกับทุกฝ่าย โดยปัจจุบันแผนพลังงานแห่งชาติอยู่ในขั้นตอนเริ่มจัดรับฟังความเห็นกลุ่มย่อย โดยคาดว่าในเดือนพฤษภาคม จะจัดสัมมนาใหญ่รับฟังความเห็นประชาชน เพื่อรวบรวมและสรุปผลก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ประมาณปลายเดือนมิถุนายน 64 ต่อไป
 

"โซลาร์ฟาร์มของทบ.ที่ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)นำร่อง  ต.แก่งเสี้ยน อ.เมืองกาญจนบุรี จำนวน 300 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ 3,000 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นที่ราชพัสดุที่อยู่ในความดูแลของ ทบ. เป็นโครงการเพื่อการศึกษาศักยภาพเท่านั้น ผมว่าหลายๆหน่วยงานในไทยมีความปารถณาดี เช่นเดียวกับโครงการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) ที่ขณะนี้จะนำร่อง 500 เมกะวัตต์ก็ต้องมาศึกษาถึงความเหมาะสมร่วมกันอีกครั้ง"

              นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวต่อไปอีกว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผ่านมาซึ่งติดลบประมาณ 10% นั้น ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง และการสำรองไฟฟ้ามีเพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่จะต้องมี 15-20% แต่ปัจจุบัน เริ่มเห็นทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากความผ่อนคลายของสถานการณ์ต่าง ๆ มีมากขึ้น โดยจะส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามมา และในอนาคตปริมาณสำรองไฟฟ้าที่มีอยู่อาจจะน้อยเกินไป เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศส่วนใหญ่จะต้องใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน อาทิการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี (EV)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :