ปรับแผนอีอีซีเฟส 2 ลาก "แทรม" พัทยา เชื่อม "ไฮสปีด-อู่ตะเภา"

10 มิ.ย. 2563 | 06:35 น.
อัปเดตล่าสุด :10 มิ.ย. 2563 | 13:40 น.
4.1 k

รัฐบาลเดินหน้าแผนลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซีระยะแรก มาแล้วถึง 5 ปี (ปี 2560-2564) จนถึงขณะนี้ โครงการขนาดใหญ่หัวใจหลักในเฟสแรก ยังไม่ลงมือก่อสร้างไม่ว่าจะเป็น รถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ –อู่ตะเภา )สนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบิน ศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบังเฟส3 ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส3 ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับแผนใหม่ โดยโยกโครงการดังกล่าวไปยังแผนพัฒนา อีอีซีระยะ2 ระหว่าง ปี2565-2570 เฟสเดียวกับ ฟีดเดอร์ รถไฟรางเบา(แทรม) พัทยา โครงการขนส่งมวลชนสาธารณะที่วิ่งเข้าสู่เมือง พื้นที่ท่องเที่ยว และแหล่งอุตสาหกรรม ให้เชื่อม โยกกับไฮสปีดที่มีแผนเปิดให้บริการในปี 2567 อีกทั้งยังมุ่งเน้นโครงการที่เกี่ยวกับระบบบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน ที่เป็นซอฟต์แวร์ หรือเทคโนโลยี เพราะไม่ต้องการให้มีแค่โครงสร้างพื้นฐานหลักๆเพียงอย่างเดียว เช่น โครงการรถไฟทางคู่ที่เข้านิคมอุตสาหกรรมเชื่อมต่อท่าเรือแหลมฉบังจำเป็นต้องมีระบบเทคโนโลยีแบบ E-Logistic เพื่อให้ทราบข้อมูลและรายละเอียดกรณีขนส่งสินค้า โดยส่งเสริมการใช้โครงสร้างพื้นฐานทางรางและทางน้ำเป็นหลัก ขณะแผนการลงทุนฯ เฟส 1 (ปี 2560-2564) จำนวน 168 โครงการ วงเงินรวม 9.88 แสนล้านบาท มีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ 34 โครงการ, โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 79 โครงการ, โครงการได้รับงบประมาณปี 63 เพื่อใช้ในการดำเนินการแล้ว 25 โครงการ, โครงการอยู่ระหว่างขอรับการจัดสรรงบประมาณปี 64 จำนวน 10 โครงการ, โครงการที่เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ 6 โครงการ, โครงการที่ให้ชะลอออกไปก่อน 2 โครงการ และโครงการที่ถูกยกเลิก 5 โครงการ

ปรับแผนอีอีซีเฟส 2 ลาก \"แทรม\" พัทยา เชื่อม \"ไฮสปีด-อู่ตะเภา\"

ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานการประชุมคณะทำงานจัดทำแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในพื้นที่เขตพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ระยะที่ 2 ยืนยันว่า แผนระยะ2 ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม จับต้องได้ โดยมอบสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ปรับแผนพัฒนาอีอีซีเฟส2จัดลำดับความสำคัญ หลัง สนข.เสนอโครงการพัฒนาระบบขนส่งทางราง น้ำ อากาศ จำนวน 106 โครงการ วงเงิน 2.52 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ถูกโอนมาจากแผนปฏิบัติการฯ ใน เฟส 1 เนื่องจากบางโครงการใกล้หมดระยะเวลาในการพัฒนาในเฟส 1 จะถูกจัดสรรงบประมาณ เพื่อนำมาพัฒนาโครงการต่อในเฟส 2

โดนนายชัยวัฒน์ ย้ำว่า” จะต้องเป็นโครงการสำคัญและมีความจำเป็นต่อเขตพื้นที่อีอีซี เท่านั้น” อีกทั้งยังให้สนข.ศึกษา 13 อุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซีที่สามารถเกิดขึ้นได้ในเฟส 2 ช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2570) หากเป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่พัฒนาขึ้นใหม่ในพื้นที่อีอีซีจะต้องใช้วัสดุจากภายในประเทศและต่างประเทศในการผลิตสินค้า เช่น โครงการรถไฟทางคู่ที่เข้านิคมอุตสาหกรรมเพื่อเชื่อมต่อท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะช่วยลดการจราจรติดขัดบนท้องถนน ทำให้มีโครงการ ในเฟส 2 ถูกตัดสิทธ์ เช่น โครงการสร้างทางยกระดับ การขยายถนนของกรมทางหลวงชนบท (ทช.) และกรมทางหลวง (ทล.) เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการสร้างทางเลี่ยงเมืองแล้ว รวมถึงโครงการขุดลอกแม่น้ำบางปะกง-เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ของกรมเจ้าท่า (จท.) เนื่องจากเป็นโครงการที่สนับสนุนขนส่งสินค้าเท่านั้น ซึ่งไม่ได้สนับสนุนพื้นที่อีอีซีโดยตรง จะถูกจัดอยู่ในแผนบูรณาการโลจิสติกส์ในประเทศแทน

“ได้สั่ง สนข.กลับไปทบทวนจัดทำแผนการลงทุนดังกล่าว เพื่อดำเนินการต่อเนื่องในระยะที่ 2 รวมถึงเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน เพื่อนำมาเสนอกระทรวงคมนาคม ภายในเดือนกรกฎาคม นี้ หลังจากนั้นจะนำเสนอต่อคณะกรรมนโยบายเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดอีอีซี) ต่อไป”

หลังจากกระทรวงคมนาคมมอบการบ้านเล่มใหญ่ขนาดนี้ ก็คงเป็นหน้าที่ของ สนข.ในการเดินหน้าวางแผนการลงทุนพื้นที่อีอีซีเฟส 2 ว่าจะเป็นอย่างไร ถือเป็นโจทย์หินที่ไม่ง่าย หากเดินหน้าได้ตามแผนที่วางไว้จะทำให้ระบบคมนาคมขนส่งสะดวก รวดเร็ว   มากขึ้น รวมถึงส่งผลให้ในอนาคตเกิดการลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง

หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40  ฉบับที่ 3,581 วันที่ 7-10 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ปรับแผนอีอีซีเฟส 2 ลาก \"แทรม\" พัทยา เชื่อม \"ไฮสปีด-อู่ตะเภา\"