กฟผ.จับมือ สทน. ต่อยอดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในอีก 40-50 ปีข้างหน้า

24 เม.ย. 2562 | 17:28 น.
2.5 k

นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ.ได้ลงนามความร่วมมือ(MOU)ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน)หรือ สทน. เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชั่น เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยุคใหม่ที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะสิ่งแวดล้อมและไม่เกิดสารกัมมันตรังสี ในอีก 40-50 ปีข้างหน้า โดย กฟผ.ได้สนับสนุนงบประมาณ 230 ล้านบาท

กฟผ.จับมือ สทน. ต่อยอดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในอีก 40-50 ปีข้างหน้า

โดย กฟผ.เชื่อว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยให้ค่าไฟฟ้ามีราคาถูกลง ใช้เชื้อเพลิงเพียงครั้งเดียวสามารถผลิตไฟฟ้าได้ยาวนาน 800 ปี โดยเติมสารบางชนิดอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้เกิดความมั่นคงไฟฟ้าประเทศได้ ปัจจุบันโรงไฟฟ้าของไทยเข้าสู่ยุคที่ 2 ที่นำพลังงานทดแทนมาผลิตไฟฟ้า จากยุคแรกที่ใช้ฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิง และในอนาคตจะก้าวสู่ยุคที่ 3 คือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เทคโนโลยีใหม่พลาสมาและฟิวชั่น

 

สำหรับเทคโนโลยีพลาสมา มีสารตั้งต้นมาจากน้ำทะเลและลิเทียมที่อยู่หน้าผิวดิน จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ก่อให้เกิดสารกัมมันตรังสีในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แต่อย่างใด ปัจจุบันหลายประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยีของโลก เช่น ฝรั่งเศส สหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย และเกาหลี

 

ทั้งนี้ MOU ดังกล่าว มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี โดย กฟผ. และ สทน. มีความร่วมมือระหว่างกัน อาทิ ร่วมกันศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม เพื่อยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน การร่วมกันจัดอบรมและถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการด้านดังกล่าวแก่บุคลากรของทั้งสองฝ่าย ตลอดจนสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เฉพาะทาง รวมถึงร่วมมือกันออกแบบและพัฒนาระบบประกอบของเครื่องโทคาแมค ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการกักเก็บพลาสมาด้วยสนามแม่เหล็กและใช้ในการศึกษาวิจัยเรื่องเทคโนโลยีฟิวชัน โดยผสานความเชี่ยวชาญด้านวิศกรรมไฟฟ้าและการออกแบบระบบไฟฟ้าของ กฟผ. กับความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ของ สทน. เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันของประเทศต่อไป ทั้งนี้ ในอนาคตอาจสามารถใช้เทคโนโลยีฟิวชัน ซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาดใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้สำเร็จ

 

ด้านนายพรเทพ นิศามณีพงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน)หรือ สทน. กล่าวว่า กฟผ.และสทน. จะร่วมกันวิจัยและพัฒนาศักยภาพของระบบจ่ายพลังงาน ระบบควบคุมและเก็บข้อมูล ระบบวัดคุณสมบุติของพลาสมาขั้นพื้นฐาน และระบบสุญญากาศของเครื่องโทคาแมค เพื่อเป็นเครื่องต้นแบบสำหรับประเทศไทย รวมถึงพัฒนาเครื่องกำเนิดพลาสมาเชิงเส้นต้นแบบที่มีอุณหภูมิและความหนาแน่นของพลาสมาตามมาตรฐาน โดยเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถนำไปใช้ประโยชน์หลากหลายด้าน อาทิ การผลิตวัสดุทนความร้อนสูงเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม การใช้เครื่องพลาสมาทางการแพทย์ ตลอดจนการเกษตร และการพัฒนาระบบควบคุมความเร็วสูง นอกจากนั้น ยังเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรภายในประเทศมีองค์ความรู้ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน ซึ่งเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญต่อการวิจัยด้านเทคโนโลยีขั้นสูง

กฟผ.จับมือ สทน. ต่อยอดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในอีก 40-50 ปีข้างหน้า