วัฒนธรรมอุแว้ แชร์ วัฒนธรรมหลอดแก้ว ฉากที่ 12

09 พ.ย. 2567 | 06:30 น.

วัฒนธรรมอุแว้ แชร์ วัฒนธรรมหลอดแก้ว ฉากที่ 12 : คอลัมน์เปิดมุกปลุกหมอง โดย...ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4043 หน้า 6

คติพจน์ที่นำเอามาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ มีทั้งเนื้อและน้ำผสมกันอยู่ จริงจังก็ใช่ จริงใจก็มี จริงดิ ก็ปะปน อย่างไรก็ตาม เนื้อความบรรทัดถัดไปมันก็มีอะไรที่ได้รสได้ชาติไปตามประสา

อย่างเช่น…

โรบิน วิลเลียมส์ ชี้ว่า“ทำไมเขาถึงเรียกมันว่าชั่วโมงเร่งด่วน ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลย” (ฮา)

จอร์จ คาร์ลิน แทงว่า “คุณเคยสังเกตไหมว่า ใครก็ตามที่ขับรถช้ากว่าคุณ คือ คนโง่ และ ใครก็ตามที่ขับรถเร็วกว่าคุณ คือ คนบ้า” (อิๆ)

นิรนาม แซะว่า “ทุกคน รู้วิธีเลี้ยงลูก ยกเว้น คนที่เลี้ยงลูก” (ฮา)

พีเจ โอ'รูร์ก กรีดว่า “ทุกคนต่างอยากช่วยโลก แต่ไม่มีใครอยากช่วยแม่ล้างจาน” (คริ…คริ) 

เชอร์ลีย์ แม็กเลน ชี้แนะในเชิงจิตวิทยาได้กริ๊บว่า “วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้สามีส่วนใหญ่ทำบางอย่าง คือ การบอกเป็นนัยๆ ให้เขาได้คิดว่า บางทีพวกเขาอาจแก่เกินไปที่จะทำสิ่งนั้น รับประกันว่าฮึดแน่นอน” (ฮา)

บรรยากาศถัดลงมา เราก็ลองแวะมาซิว่า “มุกจุกจิก” คือ “หลังจากได้จิกก็จะต้องมีคนจุก” (ฮา)

หมอ ประเทศเทาเทา โม้ว่า “หมอประเทศผมเขาสามารถตัดตับคนวัยจุ้น เอาไปใส่ให้ คนวัยจึ้ง พักฟื้นอยู่ 6 สัปดาห์ เขาออกไปหางานทำได้เลย”

หมอ ประเทศเกาถี่ ยืดอก ปาดหน้าเขก ว่า “ประเทศผมเขาใช้ กิโยติน ตัด สมองตรงส่วนครูพักลักจำ ของ เจ้ามือ เอาไปใส่ให้ หมอฮวงเจี๊ยะ ผ่านไป 4 สัปดาห์หาเหยื่อได้อื้อ”

หมอ ประเทศโควืด บอกว่า “มะนุดต่างด้าวทั้งหลายเอ๋ย ประเทศเราเขาเอาหัวใจครึ่งหนึ่ง ของ ไส้ศึก ส่งไปใส่ไว้ในอกของ สายสืบ หลบไปพักฟื้นอยู่ในอุโมงใต้ดิน 2 สัปดาห์ ก็ได้งานทำเป็นเชฟโรงแรมห้าดาว”

หมอประเทศโคลนนัว เล่าหน้าตาเฉยว่า “ประเทศคุณยังทำแบบประเทศผมไม่ได้หรอก เราจัดรถ AI ให้ไปเกยใครมาก็ได้  ในที่ซุด… ก็ได้ ประธานาธิบดี มาท่านหนึ่ง เขา ไม่มีสมอง ไม่มีหัวใจ ไม่มีตับ ทุกคนพร้อมใจยกให้เธอเป็น ประธานาธิบดี  กระทั่งบัดนี้ ดูเหมือนว่าชาวบ้านยังหางานทำไม่ได้กันสักคน!” (ฮา)

เรื่องนี้เป็นแค่นิทานผีบอกที่เขาส่งกันไปส่งกันมาเอาฮาแก้เซ็ง ไม่ได้มี ลับลมคมใน อย่าเพิ่งร้องยี้นะจ๊ะ ลับลมคมใน น่ะไม่มี แต่มันมี ลับลมคมกริบ ซ่อนเร้นอยู่ว่า “การนินทากาเลเหมือนเทหนาม” 

ถ้าพินิจกันตามหลักสามัญสำนึก ก็คงปฏิเสธลำบากว่า แซวกันแค่นี้ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย ไม่เห็นนั่นน่ะก็รู้ว่าไม่เห็น แต่เราก็ยังสรุปไม่ได้ว่า คนที่โดนเราแซวไม่มีอะไรเสียหาย เหตุที่ผมรำพึงมาในทำนองนี้ ก็เพราะว่าเรากำลังขลุกขลิกอยู่กับกลิ่นไอของ วัฒนธรรม

                                    วัฒนธรรมอุแว้ แชร์ วัฒนธรรมหลอดแก้ว ฉากที่ 12

 

อะไร คือ แก่นแท้ ของ วัฒนธรรม?

Pro Tier ชี้ว่า แก่น คือ “สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ผู้คนมุ่งมั่นทำงานที่มีความหมาย”

เจียนซัน ปักหมุด จี้ถูกจุดเป๊ะว่า “ความหมายศัพท์ดั้งเดิมของวัฒนธรรม คือ การเพาะปลูก”

หลายท่านคงจะรู้กันบ้างแล้ว และ หลายท่านก็รู้แล้วว่า เรื่องนี้เรายังไม่รู้ เรื่องนี้ไม่ล้อเล่น ใครจะไปนึกว่า ก่อนที่ อเล็กซานเดอร์มหาราช จะสิ้นลมหายใจในวัย 32 ท่านได้บอกกล่าวกับคนสนิทที่ยืนล้อมรอบเตียงถึงขนาดว่า ได้ฟังคำขอก็พอกัน งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น คำขอ สามประการ ที่ท่านรำพึงมีอยู่ว่า

หนึ่ง ขอให้แพทย์ที่ดีที่สุดในสมัยนั้นช่วยขนโลงศพของเขาไป

สอง ขอให้สมบัติที่เขาได้สะสมไว้ถูกโปรยปรายไปจนถึงหลุมฝังศพของเขา

สาม ให้มือของเขายังคงลอยอยู่กลางอากาศ แกว่งออกมาจากโลงศพให้ทุกคนเห็น

แม่ทัพคนโปรดของพระองค์ก้มลงจุมพิตพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วนำไปประทับที่หน้าอก จากนั้นก็ถามว่า “มหาราชของข้า พระประสงค์ของพระองค์จะได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน แต่บอกข้าหน่อยได้ไหมว่า ทำไมพระองค์จึงมีประสงค์ที่แปลกเช่นนั้น”

อเล็กซานเดอร์มหาราช ทรงตรัสว่า “ข้าจะขอสอนบทเรียนสามประการให้โลกได้รับรู้สิ่งที่ข้าเพิ่งจะได้เรียนรู้ ข้าให้แพทย์ผู้รักษาข้าเป็นผู้แบกหีบศพของข้าเพื่อให้ประชาชนรู้ว่า ไม่มีแพทย์คนไหนที่สามารถรักษาโรคให้ใครได้อย่างแท้จริง แพทย์ไม่มีอำนาจที่จะหยุดยั้งความตายได้ และให้ชีวิตกลับมาไม่ได้”

“ความประสงค์ที่สองของข้าที่ให้โปรย เพชร นิล จินดา ในระหว่างทางที่ไปยังสุสานของข้า ก็เพื่อสอนประชาชนให้รู้ว่า แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งของสมบัติ ข้าก็ยังนำไปด้วยไม่ได้ ประชาชนจะได้ตระหนักว่า มันเป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะสะสมความมั่งคั่ง” 

“ความประสงค์ประการสุดท้ายของข้า ที่ให้ปล่อยมือทั้งสองข้างของข้า ยื่นออกมาจากหีบศพ ก็เพื่อสอนให้ประชาชนรู้ว่า ข้าถือกำเนิดบนโลกนี้ด้วยมือเปล่า และ ข้าก็จากโลกนี้ไปด้วยมือเปล่าเช่นที่ข้ามา การฝังศพข้า ไม่ต้องสร้างอนุสาวรีย์ใดๆ ให้ข้า ปล่อยให้มือของข้ายื่นออกมาจากหลุมศพ เพื่อให้โลกได้รับรู้ว่า ข้าผู้ซึ่งได้พิชิตโลกได้ดังใจก็จริงอยู่ ครั้นเมื่อจากโลกนี้ไปข้าก็ไม่ได้มีอะไรในมือเลย”

นี่แหละ “วัฒนธรรมในการสื่อให้ได้ความ!” ว่า “การเคลื่อนไหวทั้งหมดของชีวิต คือ การเรียนรู้”