ในรายงานล่าสุดจาก สหประชาชาติ หรือ UN ที่ออกมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า คำมั่นที่หลายประเทศให้ไว้ในการลดก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกยังไม่เพียงพอต่อการป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นำไปสู่หายนะ สหประชาชาติระบุว่า คำมั่นเหล่านี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซได้เพียง 2.6% จากปี 2562 ถึงปี 2573 ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าจำเป็นต้องลดถึง 43% เพื่อให้สามารถควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามเป้าหมายข้อตกลงปารีส
UNFCCC หรือกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศชี้ว่า หากทุกประเทศยังไม่ปรับปรุงคำมั่นดังกล่าว ภัยพิบัติธรรมชาติที่รุนแรงจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ Simon Stiell เลขาธิการ UNFCCC เรียกร้องให้ทุกชาติยกระดับ NDC ของตนซึ่งกำหนดขึ้นใหม่ในปีหน้า และถือเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่จะช่วยหยุดยั้งภาวะโลกร้อนที่กระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตผู้คน
การประชุม COP29 ที่กำลังจะจัดขึ้นที่กรุงบากูในเดือนพฤศจิกายนนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเจรจาเพื่อผลักดันให้ประเทศสมาชิกกว่า 200 ประเทศเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยนอกเหนือจากการหารือเกี่ยวกับระบบการค้าการปล่อยก๊าซแบบใหม่ที่มีผลกระทบต่อการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาแล้ว การประชุมนี้ยังเป็นที่จับตามองถึงการสร้างเป้าหมายที่เข้มข้นขึ้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
Pablo Vieira ผู้อำนวยการกลุ่ม NDC Partnership ให้ความเห็นว่า ในบางกรณีประเทศต่าง ๆ อาจใช้กระบวนการ NDC เป็นกลไกต่อรองเพื่อเรียกร้องเงินสนับสนุนเพิ่มเติม ทั้งนี้ เขาระบุว่าการปรับปรุง NDC ใหม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบที่ดึงดูดการลงทุนไม่เพียงแค่จากภาครัฐ แต่ยังรวมถึงภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนามีทรัพยากรในการรับมือกับภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ รายงานจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ยังเสริมว่า ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้นในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเมื่อปีที่ผ่านมาระดับคาร์บอนไดออกไซด์พุ่งสูงสุดถึง 420 ppm ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 11.4% ภายใน 20 ปี ส่งผลให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล
ปัญหาไฟป่าในหลายประเทศโดยเฉพาะในแคนาดาซึ่งเกิดความรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาในระดับที่มากเกินกว่าประเทศขนาดใหญ่หลายประเทศปล่อยรวมกันในหนึ่งปี การสะสมของก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้มีผลทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นในอัตราที่อันตราย
Celeste Saulo เลขาธิการ WMO กล่าวว่าระดับ ppm ที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขธรรมดา แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์และธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเรา และเสริมว่า นักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องตระหนักถึงผลกระทบเหล่านี้และเร่งทำการตัดสินใจที่เด็ดขาด