climatecenter

เปิดร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สู่ความยั่งยืนของไทย

    ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เปิดร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สู่ความยั่งยืนของประเทศไทย พร้อมรับมือกับความท้าทายวิกฤตโลกร้อน

ในการประชุมภาคีขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 3 (TCAC 2024) ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้เปิดเผยเนื้อหาสาระสำคัญของ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน โดยมีการวางกรอบกฎหมายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และการจัดการกลไกทางการเงินเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มรูปแบบ

ดร.พิรุณ ได้กล่าวว่า "วันนี้พวกเรามีความชัดเจนแล้วเกี่ยวกับความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำท่วม หรือดินถล่ม ที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้ย้ำเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและกระทบกับทุกคน" 

เปิดร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สู่ความยั่งยืนของไทย

นอกจากนี้ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2567 เช่น การเกิดปะการังฟอกขาวที่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศและการท่องเที่ยวทางทะเลอย่างรุนแรง

สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2567 ฉบับนี้ประกอบไปด้วย 13 หมวดหลัก และ 1 หมวดเพิ่มเติม ครอบคลุมเรื่องสำคัญหลายด้าน ตั้งแต่การกำหนดนโยบายระดับชาติ ไปจนถึงการจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างเป็นระบบ โดยหมวดเพิ่มเติมที่ว่านั้นเกี่ยวกับ "กลไกการจัดการคาร์บอน" ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืน ทั้งนี้การร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาโดยเพิ่งผ่านอนุกรรมการครั้งที่ 14 และจะเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีในลำดับถัดไป โดยคาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ภายในปี พ.ศ. 2569 

ในแง่ของการลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซลง 40% ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยในจำนวนนี้ 33.3% จะมาจากศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศเอง ส่วนอีก 6.7% คาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ประเทศไทยยังตั้งเป้าหมายในการใช้กลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศกับประเทศพันธมิตร เช่น สวิตเซอร์แลนด์และสิงคโปร์ เพื่อลดภาระการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติม

เปิดร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สู่ความยั่งยืนของไทย

ดร.พิรุณ ยังกล่าวว่า "เมื่อสิบปีที่แล้ว หลายคนยังคงตั้งคำถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ในวันนี้เรามองเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าภัยธรรมชาติมีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ และการปฏิบัติการของทุกประเทศยังไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหา" พร้อมเน้นว่าภายใต้ข้อตกลงปารีสซึ่งมีการตั้งเป้าไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5°C ผลวิจัยจาก NASA ในปี พ.ศ. 2566 ชี้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้เพิ่มขึ้น 1.3°C แล้ว และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นถึง 1.4-1.5°C ในปี พ.ศ. 2567

ร่าง พ.ร.บ.นี้ยังเน้นเรื่องการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนทางสิ่งแวดล้อม โดยมีการจัดตั้งกองทุนภูมิคุ้มกันสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ความช่วยเหลือทั้งในรูปแบบของเงินกู้และเงินสนับสนุนแก่ภาคเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเพิ่มพลังงานทดแทน การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และการลดการปล่อยก๊าซในภาคอุตสาหกรรม

ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนากลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) และการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเก็บภาษีคาร์บอน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านในภาคเศรษฐกิจ การที่หลายประเทศ เช่น สิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มใช้กลไกนี้แล้ว ทำให้ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลก

เปิดร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สู่ความยั่งยืนของไทย

ดร.พิรุณ ยังได้อธิบายว่าร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีการกำหนดแผนแม่บทและยุทธศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นแนวทางที่ครอบคลุมทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อสภาพอากาศ และการสนับสนุนจากภาคการเงิน ภาครัฐจะต้องทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ท้าทายและเป็นจริง นอกจากนี้ยังมีการกำหนดแผนการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ชัดเจน ครอบคลุมทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคพลังงาน การเกษตร ไปจนถึงการคมนาคม

ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังมีการเน้นในส่วนของการรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการแบ่งเป็นสองระดับ คือ การรายงานในระดับประเทศและระดับนิติบุคคล เพื่อให้การประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซมีความแม่นยำและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

สำหรับในปี พ.ศ. 2569 เมื่อ พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับใช้ ประเทศไทยจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในเรื่องการจัดการคาร์บอนเครดิต การลงทุนในพลังงานทดแทน และการใช้ระบบขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การเพิ่มจำนวนรถไฟฟ้า และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม

เปิดร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สู่ความยั่งยืนของไทย

นอกจากนั้น ยังชี้ให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายนี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม โดยเฉพาะการจัดการภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นเครื่องมือในการสร้างสังคมที่มีความยั่งยืนและมีภูมิคุ้มกันต่อภัยธรรมชาติในอนาคตซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในทุกภาคส่วน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว และความมั่นคงของประเทศในระยะยาว