นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ หลากหลาย และก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก
ทั้งนี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์ จึงสามารถส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในไตรมาสแรกของปี 2024 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 11.10 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 ซึ่งผลิตภัณฑ์สำคัญ 3 อันดับแรกที่มีผลต่อดัชนีฯ ได้แก่ การผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ มีสัดส่วนการผลิตสูงสุดถึงร้อยละ 75.68 การผลิตเฟอร์นิเจอร์โลหะ และการผลิตฐานรองที่นอนและที่นอน
ขณะดียวกันในปี 2023 อุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์ มีจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด 12,117 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) จำนวน 9,204 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.96 และมีการจ้างงานทั้งหมด 106,556 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นการจ้างงานในธุรกิจรายย่อย (Micro) และธุรกิจขนาดย่อม (S) คิดเป็นสัดส่วนรวมกันกว่าร้อยละ 61.57 ซึ่งการจ้างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ จำนวน 46,727 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43.85 ของจำนวนการจ้างงานในภาคการผลิตเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด
นอกจากนี้ แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของเฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก และเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ รายย่อยและขนาดย่อมที่เป็นกลุ่มฐานรากในระบบเศรษฐกิจที่จะต้องให้ความสำคัญอย่างมาก
นายพูนพงษ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักคิดเป็นประมาณร้อยละ 70 ของการผลิตเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด โดยในปี 2023 ไทยมีมูลค่าส่งออก 1,617.51 ล้านดอลลาร์ ตลาดส่งออกหลัก 3 ประเทศแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (ปี 2021-2023) พบว่า มีตลาดน่าสนใจที่มีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางบวก อาทิ มาเลเซีย ขยายตัวร้อยละ 16.91 แคนาดา ขยายตัวร้อยละ 12.86 และไต้หวัน ขยายตัวร้อยละ 9.94 และหากพิจารณาแนวโน้มการนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ภาพรวมในตลาดโลก พบว่า ในปี 2023 มีมูลค่า 239,300 ล้านดอลลาร์
สำหรับประเทศที่มีการนำเข้าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และฝรั่งเศส ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีล่าสุด (ปี 2021-2023) พบว่า ตลาดที่น่าสนใจและมีการนำเข้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ สาธารณรัฐเช็ก ร้อยละ 3.85 และ อิตาลี ร้อยละ 0.25
ทั้งนี้ ความนิยมเฟอร์นิเจอร์มีการปรับเปลี่ยนจากปัจจัยต่าง ๆ ตามบริบทของโลก อาทิ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และการตระหนักรู้ถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น โดยทิศทางแนวโน้มความต้องการเฟอร์นิเจอร์ 3 ประการ ได้แก่
นอกจากนี้ มาตรฐานเฟอร์นิเจอร์ ยังเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคำนึง เนื่องจากจะเป็นตัวกำหนดแนวปฏิบัติเพื่อให้ผู้ผลิตและส่งออกดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับของประเทศปลายทาง อีกทั้งยังมีส่วนช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและความน่าเชื่อถือต่อผู้บริโภคได้มากขึ้น ทั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัย และมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
ในโอกาสนี้ สนค. จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการสนับสนุนและส่งเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการค้าของไทย เพื่อเป็นข้อมูลในการส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทย รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้