กับดัก "สตาร์ทอัพ-เอสเอ็มอี" ทำไมธุรกิจไทยเดินช้ากว่าอาเซียน

29 เม.ย. 2568 | 18:31 น.
อัปเดตล่าสุด :29 เม.ย. 2568 | 22:13 น.

โครงสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพไทยไม่ชัดเจน จนเป็น "กับดัก" สู่ธุรกิจ SMEs กลายเป็นผู้ประกอบการรายย่อย พัฒนาช้าและเติบโตยาก ชี้ประเทศข้างเคียงอย่าง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม กลับเติบโตแบบก้าวกระโดด

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า โอกาสและความท้าทายของภาคธุรกิจประเทศไทยในด้านการทำธุรกิจ ถือว่าไม่แพ้ใครในภูมิภาคเดียวกัน แต่ปัจจัยสำคัญคือ ไทยมีผู้ประกอบการรายย่อยเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่กลับมีอยู่น้อย

โดยจุดเริ่มต้นกับดักสำคัญของผู้ประกอบการไทยคือ เส้นทางการเริ่มต้นเป็นสตาร์ทอัพ (Startup) ที่เริ่มจากจุดเล็กๆ การจับมือกันของบุคคลสร้างสิ่งใหม่ เปิดศักยภาพของนักธุรกิจรุ่นใหม่ เพื่อนำไปสู่การสร้างความน่าเชื่อถือสำหรับนักลงทุน แต่สตาร์ทอัพในประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่ใช่แบบนั้น เพราะบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็นสตาร์ทอัพล้วนเป็นคนที่มีพื้นฐานต้นทุนทางการเงินจากครอบครัวอยู่แล้ว บางคนแค่ก้าวออกจากธุรกิจครอบครัวมาต่อยอดสิ่งเดิม สร้างบริษัทของตัวเอง หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน คำว่าสตาร์ทอัพของไทยถือว่ายังไม่ถูกนิยามและมีแบบแผนที่ชัดเจน

"ในประเทศไทย แค่เริ่มทำธุรกิจเป็นผู้ประกอบการก็มักจะเรียกตัวเองว่าเป็นสตาร์ทอัพแล้ว เมื่อมองสเต็ปต่อไปที่ต้องหาเงินทุน ระดมทุน หรือ Joint Venture กลับอยากทำอยากสร้างธุรกิจเอง จนสุดท้ายจากสตาร์ทอัพก็กลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs เป็นผู้ประกอบการราย่อยที่ไปต่อได้ยาก หากไปต่อได้ก็กระจุดตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอยู่ได้เพราะรู้จักหน่วยงานภาครัฐที่สามารถสนับสนุนได้ แต่ต่างจังหวัดแทบไม่รู้จักและมีโอกาสน้อยกว่า"

นางสาวรุ้งเพชร กล่าวว่า ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน หน่วยงานที่สนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มนี้คือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หรือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่สามารถให้ทุนสนับสนุนผู้ประกอบการได้ แต่นอกเหนือจากนี้ผู้ประกอบการก็จะไปต่อได้ยากเพราะหลังจากนั้นต้องวิ่งหาช่องทางการค้า ข้ามไปอีกหลายหน่วยงาน หลายกระทรวง 

ดังนั้น ส่วนใหญ่เมื่อตั้งหลักได้และอยู่ในระดับทดลอง จึงไม่ค่อยสนใจมองหา “Incubator” ซึ่งก็คือผู้ “บ่มเพาะ” ธุรกิจ ที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำแก่สตาร์ทอัพตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นไอเดียให้เกิดรูปแบบธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ 

กับดัก \"สตาร์ทอัพ-เอสเอ็มอี\" ทำไมธุรกิจไทยเดินช้ากว่าอาเซียน

เรื่องนี้หากมองถึงโครงสร้างสตาร์ทอัพของประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศข้างเคียงอย่างสิงคโปร์ที่มีแบบแผนชัดเจน ถือว่าเทียบกันไม่ได้ นอกจากนี้ในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ก็มีกระทรวงเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพเฉพาะ มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง ช่วยผลักดันผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ตลอดจนพาไปยังช่องทางการขายและแข่งขันในตลาดได้ ซึ่งตอนนี้ถือว่ากำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด

"จากประสบการณ์ทำงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองภาพรวมเห็นในประเทศกลุ่ม Southeast Asian มีจำนวนสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีเป็นจำนวนมาก แต่ประเทศไทยเกิดได้ยาก นอกจากโครงสร้างของไทยไม่ชันเจนและแข็งแรงแล้ว คนไทยยังมีความอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของธุรกิจเอง และเสียดายสิ่งที่ทำมาจนไม่อาจปล่อยมือ"

ด้าน ผศ.ดร.เกรียงไกร สัจจะหฤทัย คณบดีคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่า จากรายงาน IMD World Competitiveness Ranking 2024 พบว่า แม้ประเทศไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ แต่ระบบการศึกษาการจัดการไทย และการตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ ตกลงไป 13 อันดับ ลดลงจากลำดับที่ 19 เป็น 32 จากการประสบปัญหาที่สำคัญ 5 ด้าน ได้แก่

1. อาจารย์ขาดประสบการณ์จริง การสอนในห้องเรียนยังขาดการเชื่อมโยงกับโลกธุรกิจจริง สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง

2. งานวิจัยไม่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ เน้นตีพิมพ์ผลงานวิชาการมากกว่าการวิจัยที่สามารถนำไปปรับใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดจริง

3. ความยั่งยืนเป็นเพียงรูปโฉม หลักสูตรในหลายสถาบันมักพูดถึงแนวคิดความยั่งยืนเพียงแค่ในระดับการตลาด ไม่ได้บูรณาการอย่างแท้จริงในกระบวนการเรียนการสอน

4. ขาดการสอนนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ หลักสูตรยังไม่มีการบูรณาการแนวคิดอย่าง Design Thinking และ Creative Thinking ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

5. ล้าหลังด้านเทคโนโลยีและ AI ขาดผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่และ AI ทำให้หลักสูตรไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ

กับดัก \"สตาร์ทอัพ-เอสเอ็มอี\" ทำไมธุรกิจไทยเดินช้ากว่าอาเซียน

นอกจากการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์ เจ้าของธุรกิจไทยยังต้องเผชิญกับ "กับดัก" มากมาย โดยเฉพาะการขาดทักษะนวัตกรรมและการเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งขัดขวางการเติบโตของธุรกิจ โดยพบว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมาก ปัจจุบันจำนวนมากถึง 3.2 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของสถานประกอบการทั้งหมด และจ้างงานรวมประมาณ 12.8 ล้านคน หรือเฉลี่ย 4 คนต่อกิจการ 

ในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (Value Added) SMEs มีสัดส่วนประมาณ 38.5% ของ GDP ประเทศไทย และมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกประมาณ 14% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ตามโครงสร้าง GDP ของ SMEs ในปี 2566 จำแนกตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญ พบว่า ภาคการบริการมีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือ ภาคการผลิต และภาคการค้าปลีกและค้าส่ง 

ยกตัวอย่างตัวอย่างฮ่องกงที่ส่งเสริม SMEs ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดงานแสดงสินค้า SME Market Day เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกของ SMEs จากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า SMEs มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่ม การจ้างงาน และการส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ

การทำให้ประเทศไทยสามารถไต่อันดับได้ดีขึ้น และสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์โลกธุรกิจยุคปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องปรับรูปแบบการศึกษาด้านการจัดการและสนับสนุนเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ ให้มีศักยภาพเข้าไปเพิ่มกำลังสำคัญในการขับเคลื่อประเทศไทย ด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง