บิ๊กโคล่า จับมือ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ชิงตลาดน้ำอัดลมท็อป 3 ในไทย

26 ก.พ. 2568 | 18:56 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ก.พ. 2568 | 19:52 น.

“บิ๊กโคล่า” ชูกลยุทธ์ “สปอนเซอร์ชิป มาร์เก็ตติ้ง” จับมือ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ชิงตลาดน้ำอัดลม 6.2 หมื่นล้าน มั่นใจภายใน 3-5 ปีขึ้นท็อป 3 ในไทย พร้อมดันยอดขาย 4,500 ล้านบาท ในปี 2568

นาย ฮวน โฆเซ่ โลเปซ เวอการ่า (Mr. Juan Jose Lopez Vergara) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาเจไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม “บิ๊กโคล่า” กล่าวว่า เป็นเวลานานกว่า 20 ปี ที่บิ๊กโคล่า (Big cola) อยู่ในตลาดน้ำอัดลมของไทย และในปี 2568 ได้ประกาศกลับมาทำการตลาดในรอบ 10 ปี พร้อมกลยุทธ์ “สปอนเซอร์ชิป มาร์เก็ตติ้ง” ลงนามในสัญญา Official Regional Partner เป็นเวลา 2 ปี ด้วยงบการตลาดประมาณ 100 ล้านบาท กับ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย ซึ่งมีฐานแฟนคลับในไทยประมาณ 5 ล้านคน พร้อมกันนี้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังเดินหน้าเป็น “Official Partner” ในอินโดนีเซียทด้วย โดยมีฐานแฟนคลับอยู่ราว 44 ล้านคน 

บิ๊กโคล่า จับมือ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ชิงตลาดน้ำอัดลมท็อป 3 ในไทย

การรุกตลาดของบิ๊กโคล่าในครั้งนี้ จะเข้ามาชิงตลาดน้ำอัดลมของไทยมูลค่ากว่า 6.2 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดอยู่ประมาณ 6% ตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 3-5 ปี จะก้าวสู่การเป็น Top 3 ในตลาดน้ำอัดลม และมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 15% มากกว่าเป้าหมายที่บริษัทแม่ตั้งเป้าไว้ 10% โดยเน้นขยายโรงงานเพิ่มไลน์การผลิตจาก 5 ไลน์ไปเป็น 12 ไลน์ และให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ ลงทุนเพิ่มศักยภาพการผลิตที่มากกว่าน้ำอัดลม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มประป๋องอย่างกาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง ตลอดจนสร้างโรงงานเพิ่มที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี รุกตลาดน้ำยาซักผ้า และน้ำยาปรับผ้านุ่ม “Dest” ซึ่งได้ดำเนินการมา 8 เดือนแล้ว

“รายได้ของบิ๊กโคล่าในไทย ปี 2567 รวม 3,600 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 25% ในปี 2568ตั้งเป้าไว้ 4,500 ล้านบาท โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบิ๊กโคล่าเติบโตเฉลี่ย 45% หรือประมาณ 4.5% ต่อปี ซึ่ง 90% ของยอดขายมาจากกลุ่มน้ำอัดลม ฉะนั้น ในปีนี้ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มอื่นๆ มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น และเน้นสร้างฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z”

บิ๊กโคล่า จับมือ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ชิงตลาดน้ำอัดลมท็อป 3 ในไทย

นาย ฮวน โฆเซ่ โลเปซ เวอการ่า กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและบริษัทแม่ อาเจ กรุ๊ปให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยไทยถือเป็นประเทศแรกที่บริษัทขยายการลงทุนนอกละตินอเมริกา และประสบความสำเร็จสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้  เมื่อเริ่มทำการตลาดในการเปิดตัว “บิ๊กโคล่า” ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคคนไทยเป็นอย่างมาก ส่งผลให้สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดของไทยได้ อย่างไรก็ดีอาเจ กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยได้ลงทุนเพื่อขยายธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง

“อาเจ กรุ๊ปมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย โดยเฉพาะในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม ซึ่งแบรนด์บิ๊กโคล่า ถือเป็นแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคย และให้ความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยบริษัทเองให้ความสำคัญในเรื่องของรสชาติและบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ที่เข้มแข็งและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านกลยุทธ์การสื่อสารที่ทันสมัย การกลับมาของอาเจ ไทย เพราะมองเห็นถึงศักยภาพของแบรนด์บิ๊กโคล่า และความต้องการของผู้บริโภคคนไทย ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมได้อย่างแข็งแรง”

บิ๊กโคล่า จับมือ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ชิงตลาดน้ำอัดลมท็อป 3 ในไทย

ด้านนายชนินทร์ เทียนเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ ไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม “บิ๊กโคล่า” กล่าวว่า ในปีนี้บิ๊กโคล่าเตรียมรุกทำตลาดภายใต้กลยุทธ์ Sponsorship Marketing โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์และกลับมาสร้างตลาดให้คึกคักขึ้น โดยการเป็น Official Regional Partner กับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการกลับมาทวงส่วนแบ่งตลาดในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมเมืองไทย

โดยบิ๊กโคล่า เตรียมเปิดตัวกลยุทธ์การตลาดครบวงจร เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งการเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ บรรจุภัณฑ์ใหม่ พร้อมกิจกรรมการตลาด อีเว้นท์มาเก็ตติ้ง และโปรโมชั่นแบบครบวงจร รวมทั้งการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในช่องทางโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชั่นนอลเทรด การจัดกิจกรรมในทุกช่องทาง และปรับรูปแบบการสื่อสารใหม่เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น เจนวายและเจนซีมากขึ้น  และยังครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง

บิ๊กโคล่า จับมือ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ชิงตลาดน้ำอัดลมท็อป 3 ในไทย

“ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดน้ำอัดลม ทำให้บริษัทต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีการสร้างทีมการตลาดดิจิตัลขึ้นใหม่และการผลิตสื่อโฆษณาในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมองว่าตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโต และการกลับมารุกตลาดในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูแบรนด์และการสร้างความตื่นเต้นให้กับคนไทยได้อย่างแน่นอน”

​สำหรับตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในไทย ในปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกว่า 6.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 3% โดยการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดทำให้ทุกแบรนด์ต้องปรับตัว และรุกทำตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของราคาและบรรจุภัณฑ์ มีการทำราคาที่ลดลงและมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กเพื่อให้สามารถแข่งขันในราคาที่ต่ำลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนารสชาติและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ บริษัท อาเจ กรุ๊ป (AJE Group) ปัจจุบันขึ้นมาเป็นอันดับ4 ของโลกในกลุ่มธุรกิจเคื่องดื่ม ถือกำเนิดขึ้นในประเทศเปรู ในปัจจุบันถือเป็นองค์กรระดับโลก ที่มีระบบการจัดการที่ทันสมัยและมีความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ มีการเติบโตและพัฒนาที่สำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีการขยายธุรกิจไปยังหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งในหมวดของเครื่องดื่มและสินค้าอุปโภคบริโภคสำหรับใช้ในครัวเรือนเกือบทุกประเภท  ผลิตภัณฑ์โฮมแคร์ และธุรกิจรีเทล ปัจจุบันยังมีการขยายตลาดไปยังประเทศต่างๆ และมีจัดจำหน่ายใน 33 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ซึ่งอาเจ กรุ๊ป มีแผนที่จะขยายตลาดให้เพิ่มมากขึ้น