จุดชนวน “ชัชชาติ” ถอนร่างข้อบัญญัติ ส่อเบี้ยว “หนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว”

09 ต.ค. 2567 | 19:35 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ต.ค. 2567 | 19:45 น.

เปิดสาเหตุ “ชัชชาติ” ถอนร่างข้อบัญญัติ เคลียร์หนี้ “รถไฟฟ้าสายสีเขียว” ฟากส.ก.แห่ค้านเพียบ แนะรอความชัดเจนป.ป.ช.-อัยการสูงสุด ชี้มูลความผิด

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า สำหรับการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 2) ประจำปีพุทธศักราช 2567 เรื่องการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นเรื่องสำคัญมากของทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

“การเสนอเรื่องดังกล่าวต่อสภากทม.ในครั้งนี้ เป็นเรื่องของอนาคตของกทม. จะมีทิศทางเดินหน้าอย่างไร โดยจะขอนำเสนอเรื่องนี้ให้คณะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อพิจารณาศึกษาในรายละเอียดต่อไป” นายชัชชาติ กล่าว

จุดชนวน “ชัชชาติ” ถอนร่างข้อบัญญัติ ส่อเบี้ยว “หนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว”

ขณะเดียวกันในปัจจุบันการบริหารจัดการโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 มีปัญหาภาระการจ่ายค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ตามเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงการมอบหมายบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือเคที ซึ่งยังไม่ผ่านการเห็นชอบจากสภากรุงเทพมหานคร รวมถึงมีรายได้จากค่าโดยสารไม่เพียงพอ การไม่ชำระค่าจ้างเดินรถอาจส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องคดีอื่นลักษณะเดียวกัน

นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า กทม.มีงบประมาณอย่างจำกัดและจำเป็นต้องใช้ในภารกิจทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา และอื่น ๆ ทำให้การดำเนินโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ 2 จะต้องเสนอต่อสภากรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาสนับสนุนรายจ่ายของโครงการในอนาคต

“กทม.จึงขอรับความเห็นในการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 จากสภากรุงเทพมหานครเพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายต่อไป” นายชัชชาติ กล่าว

สำหรับแนวคิดของฝ่ายบริหารกรุงเทพมหานคร ระบุว่า ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายให้ชัดเจน ว่าการชำระหนี้ตามคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดสามารถทำได้หรือไม่

ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำตอบที่ชัดเจนจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อได้ความชัดเจนแล้ว จะนำเรื่องดังกล่าวเสนอให้สภากรุงเทพมหานครพิจารณาต่อไป

นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ส.ก.เขตจอมทอง กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ฝ่ายบริหารของกรุงเทพมหานครมีการเตรียมข้อมูลเสนอสภากรุงเทพมหานครอย่างละเอียด โดยสภากรุงเทพมหานครได้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพื่อพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ

“เชื่อว่าคณะกรรมการวิสามัญฯ แต่ละท่านล้วนมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน และค้นคว้าข้อมูลประกอบการพิจารณาเรื่องนี้นานกว่า 1 ปี จึงเห็นควรให้คณะกรรมการวิสามัญฯ ชุดดังกล่าวพิจารณาในเรื่องนี้ และสภากรุงเทพมหานครแห่งนี้ควรช่วยกันเร่งผลักดันในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว เพราะส่งผลกระทบกับดอกเบี้ยรายวันที่ กทม.ต้องชำระ” นายสุทธิชัย กล่าว

นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นประธานคณะกรรมการวิสามัญฯ ชุดดังกล่าว ที่ผ่านมา ป.ป.ช. ได้ชี้มูลเข้ามาว่าการทำสัญญาส่วนต่อขยายที่ 1 เป็นการเสนอราคาแบบไม่เป็นธรรมเนื่องจากมีเอกชนเพียงเจ้าเดียวในการเสนอราคา

ทั้งนี้ไม่มีการชี้มูลความผิดในเรื่องการก่อสร้างส่วนต่อขยายที่ 2 แต่เป็นภาระหนี้ของ กทม. ที่ต้องชำระหนี้ โดยต้องเสียดอกเบี้ยวันละ 2.7 ล้านบาท

หากการพิจารณาการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 ช้า ก็จะยิ่งสร้างความเสียหายในการชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยมากยิ่งขึ้น โดยต้องชำระเป็นรายปี

นอกจากนี้หากหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ต้องชำระตามกฎหมาย ในอนาคตอาจจะมีการจัดตั้งงบประมาณรายปีเพื่อชำระหนี้ดังกล่าว และหากการพิจารณาการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 สามารถหาข้อสรุปได้รวดเร็ว สามารถทำให้ กทม.วางแผนด้านงบประมาณการเงินและการชำระหนี้รายปีได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

นายพีรพล กนกวลัย ส.ก.เขตพญาไท กล่าวว่า กทม. คือเจ้าของทรัพย์สินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายทั้ง 2 ส่วน แต่ผู้ให้บริการเดินรถบนทรัพย์สินของกทม. กลับได้กำไรจากการเดินรถเพียงฝ่ายเดียว

อย่างไรก็ตามกทม. จึงควรทบทวนในเรื่องของอัตราการเดินรถโดยสารให้สมควรและมีความเป็นธรรมต่อไปในอนาคต และขอให้ฝ่ายบริหารกทม. ขอรับคำตอบที่ชัดเจนของการชี้มูลความผิดจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงานอัยการสูงสุดก่อนชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า กทม. ชำระหนี้ตามความผิดของสัญญาที่ถูกต้องตามกฎหมาย

นายตกานต์ สุนนทวุฒิ ส.ก.เขตหลักสี่ กล่าวว่า การพิจารณาและญัตติดังกล่าวในวันนี้เป็นเรื่องใหญ่ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับงบประมาณของกรุงเทพมหานคร จึงควรพิจารณาเป็นกรณีไป ขอฝากฝ่ายบริหารของกรุงเทพมหานครได้พิจารณาในแต่ละกรณีให้ถี่ถ้วน

“ในกรณีนี้กทม. ควรชำระหนี้หรือไม่ หากสัญญาการจ้างเดินรถดังกล่าวเป็นโมฆะ การเดินรถจะกลับมาเป็นของ กทม. แล้วจะมีการทำสัญญาเดินรถกับบริษัทรายใหม่พร้อมหารายได้ในช่องทางอื่น ๆ กลับมาให้กทม. หรือไม่อย่างไร” นายตกานต์ กล่าว

นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ส.ก.เขตมีนบุรี กล่าวว่า ผู้ว่ากทม. สามารถส่งรายละเอียดต่าง ๆ ให้คณะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว พิจารณาศึกษาเรื่องนี้ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสภากรุงเทพมหานครแห่งนี้ 

หากต้องการให้สภากรุงเทพมหานครแห่งนี้พิจารณาเรื่องดังกล่าวร่วมกัน ควรต้องนำเอกสารหลักฐานของเนื้อหาสำนวนมูลความผิดจาก ป.ป.ช. และ สำนักงานอัยการสูงสุดมาให้ละเอียดครบถ้วน เพื่อประกอบการพิจารณาว่าจะมีผลกระทบกับการก่อสร้าง ส่วนต่อขยายที่ 2 หรือไม่ 

นายพุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก.เขตยานนาวา กล่าวว่า การพิจารณาเรื่องดังกล่าวมีความสำคัญมาก เนื่องจากมีผลกระทบกับประชาชน ดังนั้นกทม.จึงต้องสร้างความชัดเจนให้กระจ่างว่า หากกทม.จ่ายชำระหนี้ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดกว่าหมื่นล้านบาทนั้น การชำระหนี้ก้อนนั้นถูกต้องหรือไม่ 

ขณะเดียวกันหากศาลปกครองสูงสุดตัดสินว่า กทม.ไม่ต้องชำระหนี้ดังกล่าว กทม. สามารถฟ้องร้องนำเงินที่ชำระหนี้คืนมาจากเอกชนได้หรือไม่ โดยต้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการให้ครบทุกด้าน เพื่อให้ประชาชนทราบว่า กทม.พร้อมที่จะชำระหนี้ตามคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด แต่ต้องรอรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป

นายสมชาย เต็มไพบูลย์กุล ส.ก.เขตคลองสาน กล่าวว่า การชำระหนี้ตามคำสั่งของศาล ส่วนหนึ่งก็เป็นหน้าตาของกทม. ว่าสามารถปฏิบัติได้ตามที่ศาลตัดสิน และกทม.ก็มีความพร้อมที่จะชำระหนี้ตามที่ศาลตัดสิน 

“ขณะนี้ขอรอความชัดเจนการชี้มูลความผิดจาก ป.ช.ช และ สำนักงานอัยการสูงสุดก่อน โดยขอฝากอีกหนึ่งแนวคิดให้สภากรุงเทพมหานครพิจารณาว่า กทม.สามารถนำเงินที่จะชำระหนี้ไปชำระไว้ก่อนที่สำนักงานวางทรัพย์ เพื่อเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยรายวันในกรณีที่คดียังอยู่ในการพิจารณา ได้หรือไม่” นายสมชาย กล่าว

ทั้งนี้สภากรุงเทพมหานครมีมติ ให้นำเรื่องการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 ให้คณะกรรมการวิสามัญศึกษาปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อพิจารณาศึกษาในรายละเอียด

นอกจากนี้รอคำตอบที่ชัดเจนจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงานอัยการสูงสุดในการชี้มูลความผิด เมื่อได้ความชัดเจนแล้วให้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาให้สภากรุงเทพมหานครแห่งนี้พิจารณาต่อไป