เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ซึ่งกุมบังเหียนการบริหารงานโดย “วัลลภา ไตรโสรัส” ทายาทเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี มุ่งขับเคลื่อนแผน 5 ปี (ปี 2568-2572)
ในการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินในพอร์ตโฟลิโอ ขึ้นเป็น 2 เท่า จาก 196,010 ล้านบาท ณ ไตรมาสแรกปี 2568 ทะยานสู่ระดับ 300,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2572 โดยยังอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป รวมถึงขยายการลงทุนได้ตามแผนที่วางไว้
การขยายพอร์ตโฟลิโอของ AWC ที่จะเติบโตได้แบบก้าวกระโดด เป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy) ภายใต้ “AWC Growth Fund” ซึ่งเป็นกลไกที่จะช่วยพัฒนาโครงการต่างๆ ที่ถูกโอนมาจาก ทีซีซี เพื่อนำมาพัฒนา โดยที่ AWC ไม่ต้องเข้าไปลงทุน หรือ เข้าซื้อกิจการ 100 % เมื่อพัฒนาแล้ว AWC ก็สามารถทยอยซื้อบางส่วนก่อนได้ และพัฒนาไประหว่างนั้น หรือโครงการเหล่านั้นได้รับการพัฒนาจนแล้วเสร็จ AWC ค่อยเข้าซื้อเข้ามาเต็ม 100% และรับรู้รายได้ในการดำเนินธุรกิจได้ต่อไป
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) AWC เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์ 5 ปีนี้ (ปี 2568- 2572) ของ AWC จะมุ่งพัฒนาธุรกิจ ภายใต้แนวคิด “Building a Better Future” โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินสู่ระดับ 300,000 ล้านบาทในสิ้นปี 2572 ภายใต้การลงทุนตามแผน 5 ปี 1 แสนล้านบาท (เฉลี่ยปีละ 2 หมื่นล้านบาท)
โดย AWC ใช้กลไกขยายธุรกิจ ผ่าน AWC Growth Fund ซึ่ง AWC ถือหุ้นในสัดส่วน 18-25% ส่วนที่เหลือถือโดย TCC Private (กลุ่มทีทีซี ที่ไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์) ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่ช่วยให้ AWC สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยไม่ต้องแบกภาระทางการเงินมากเกินไป
ภายใต้โมเดลนี้ TCC Private จะเป็นผู้ถือที่ดินไว้ก่อน โดย AWC จะเข้าไปถือในสัดส่วน 18-25% และได้ล็อคราคาไว้ เมื่อโครงการพัฒนาเสร็จเรียบร้อย และเริ่มสร้างกระแสเงินสดได้แล้ว AWC จะมีสิทธิ์ซื้อโครงการกลับมาในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ทำให้ในวันที่ AWC เป็นเจ้าของ 100% จะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทันที และสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในทันที
“โมเดลนี้ช่วยให้เราสามารถเติบโตได้แบบก้าวกระโดด เพราะถ้าไม่มีตัวโมเดล AWC Growth Fund การเติบโตของ AWC จะต้องใช้เงินเยอะตั้งแต่วันแรก แต่การใช้โมเดลแบบนี้ ทำให้สถานะทางการเงินของ AWC ก็ไม่ต้องหนักตั้งแต่วันแรก เพราะเราค่อยๆ เข้าไป ดึงโครงการออกมาดำเนินการหารายได้ต่อไป และยังเป็นจุดแข็งของ AWC ที่ทำให้สามารถวางแผนขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระหนี้สินที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”
ปัจจุบัน AWC มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.87 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มักจะอยู่ที่ 1.5 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท AWC ยังคงรักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทจะสามารถเติบโตและแข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืน ซึ่งโมเดล AWC Growth Fund มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถบริหารอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
นางวัลลภา กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน AWC Growth Fund มีโครงการภายใต้การบริหารทั้งหมด 4 โครงการที่กำลังอยู่ระหว่างลงทุน รวมมูลค่าการลงทุนประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการเวิ้งนครเกษม เยาวราช มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านบาท โรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก มูลค่าการลงทุน 16,000 กว่าล้านบาท โครงการ ลานนาทีค เชียงใหม่ 11,950 ล้านบาท และโรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ โฮเทล และสปา (ทองหล่อ) 3,000 กว่าล้านบาท
อีกทั้งบริษัท ยังอยู่ระหว่างการทำแผนเพิ่มโครงการเข้า AWC Growth Fund เพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า คาดว่าจะสรุปรายละเอียดได้ภายในอีก 1 เดือน
โครงการ “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” ขณะนี้ได้ลงเสาเอกแล้ว การลงทุน บนพื้นที่ 14 ไร่ เน้นการออกแบบสะท้อนถึงมรดกวัฒนธรรมไทย-จีน ของย่านไชน่าทาวน์ ผ่านการอนุรักษ์บนพื้นที่ประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย ศูนย์การค้าระดับไอคอนิก โรงแรมระดับลักชัวรี 2 โรงแรม รวม 500 ห้อง ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล 300 ห้อง และโรงแรมคิมป์ตัน 200 ห้อง รวมถึงศาลาจีน สูง 8 ชั้น พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของไชน่าทาวน์ ลานจอดรถใต้ดินรองรับได้ 750 คัน
โครงการ “โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก” เปิดให้บริการปี 2569 ที่อยู่ระหว่างปรับโฉม หลังได้เข้าไปลงทุนหุ้นในธุรกิจโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก มูลค่า 7,789 ล้านบาท ส่วน “โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ โฮเทล และสปา” (ทองหล่อ) จำนวนห้องพัก 200 ห้อง เปิดให้บริการปี 2571
ขณะที่โครงการ “ลานนาทีค เชียงใหม่” ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้าในพื้นที่ลานนา กาแล ลานนา บาซาร์ และลานนา มาร์เก็ต ที่เน้นสร้างให้เป็นแลนด์มาร์กศิลปวัฒนธรรม ที่ผสมผสานไลฟ์สไตล์และอัตลักษณ์ล้านนา กับศิลปะร่วมสมัย รวมผลิตภัณฑ์ชั้นยอดจากภาคเหนือ ที่จะเปิดให้บริการในปลายปีนี้
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการจัดกลยุทธการลงทุน และจัดพอร์ต เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และเสริมองค์รวมให้กับผู้ถือหุ้น และการสร้างโครงการคุณภาพ พัฒนาให้เป็นแลนด์มาร์ก เดสติเนชั่น ด้านการท่องเที่ยวระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยขณะนี้แผนลงทุน 5 ปี วงเงิน 1 แสนล้านบาท ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่อาจต้องปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ซึ่งก็ต้องจับตาดูเป็นรายไตรมาส เพราะเศรษฐกิจก็อาจจะหมุนกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าได้
โดยจะโฟกัสการลงทุนในโครงการที่เป็น Destination Model เพื่อสร้างจุดแข็ง เสริมจุดแข็ง ของทั้งซิตี้ ของทั้งเมือง ของทั้งโมเดลประเทศ แต่เราอาจจะยังไม่จำเป็นต้องไปเพิ่ม Supply รอให้สภาพเศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมก็ลงทุนต่อได้ และหันมาเน้นการลงทุนในโครงการที่เห็นโอกาสของตลาดก่อน อย่างการชะลอบางโครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และให้ความสำคัญกับโครงการที่สามารถเสริมจุดแข็งและศักยภาพของแต่ละพื้นที่
อย่าง ที่ เอเชียทีค ดิ ริเวอร์ ฟร้อนท์ จะชะลอการสร้างตึก 100 ชั้น สูงที่สุดในประเทศไทยไว้ชั่วคราว แต่บริษัทได้เตรียมออกแบบ การวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และขั้นตอนการขออนุญาตต่างๆไว้พร้อมแล้ว รอให้ตลาดฟื้นตัวกลับมาชัดเจนก่อนก็จะลงมือได้เลย แต่เลือกที่จะลงทุนเปิด จูราสสิค เวิล์ด ในเอเชียทีค ก่อน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว
ส่วนโครงการที่ใส่ไว้ในไปป์ไลน์ ซึ่งอยู่ในแผน สร้าง Destination ในหลายพื้นที่ หลักๆ ก็มีริมแม่น้ำเจ้าพระยา โครงการเวิ้งนครเกษม โครงการลานนาทีค เชียงใหม่ ยังจะไม่ลงทุนโรงแรมขนาดใหญ่เพิ่มเติม จากแผนที่อยู่ระหว่างการลงทุนในขณะนี้ เพราะต้องการสร้างเดสติเนชั่นดึงนักท่องเที่ยวก่อน แล้วค่อยทยอยลงทุนโครงการใหญ่ รอจังหวะเวลาที่เหมาะสม
รวมถึงการลงทุนในโครงการอควอทีค พัทยา (มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท) บริษัทมองว่าตลาดพัทยาพร้อมแล้ว จึงสามารถเดินหน้าได้เต็มรูปแบบ โดยจะมองการพัฒนารีสอร์ท และโรงแรมในพัทยา เพราะมีที่ดินแปลง 150 ไร่ของ AWC ก็ค่อยๆทยอยพัฒนา ซึ่งโรงแรมที่พัทยาเติบโตดีมาก
ล่าสุดบริษัทเพิ่งจะเปิดให้บริการโรงแรมมีเลีย พัทยา โฮเต็ล และมีแผนจะเปิดให้บริการโรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา ในไตรมาส 2 ปีนี้ รวมถึงเปิดให้บริการโรงแรมแฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งได้ซื้อมาช่วงโควิด-19 มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เพื่อสร้างให้เป็นคอนเซ็ปต์ Luxury MICE ดึงดูดกลุ่มการจัดงานประชุมสัมมนาระดับลักชัวรีมายังกรุงเทพฯ
นางวัลลภา ยังกล่าวต่อว่า แม้เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในช่วงปรับตัว แต่ธุรกิจท่องเที่ยวในกลุ่ม Quality Demand หรือนักท่องเที่ยวคุณภาพ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของ AWC ยังคงเดินทางมาเที่ยวไทยต่อเนื่อง การดำเนินธุรกิจของ AWC ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ด้วยรายได้รวม 6,191 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,969 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23 % โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 3,417 ล้านบาท เติบโต 15.3 %
นอกจากนี้ AWC ยังมีจุดเด่นในการร่วมมือกับพันธมิตรเชนโรงแรมระดับโลกหลากหลายแบรนด์ เพื่อดึงเข้ามาบริหารโรงแรม ซึ่งมีสมาชิกกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก ในการช่วยดึงนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพเข้าไทย และการดึงพันธมิตรระดับโลกมาร่วมพัฒนาโครงการต่างๆในการสร้างแลนด์มาร์กระดับโลก
รวมไปถึงการจุดแข็งด้านโครงสร้างการเงินที่แข็งแกร่ง จากโมเดล AWC Growth Fund แม้จะมีการลงทุนมากมาย และมีสินทรัพย์แบบ Freehold กว่า 90% ต่างจากอสังหาฯอื่นที่ต้องจ่ายค่าเช่าและต่อสัญญาเช่าทุกปี และอยู่ในไพร์มโลเคชั่น ทำให้มี Cash Flow เต็มที่ และด้วยราคา IPO 6 บาท ก็เป็น Fair Value อยู่แล้ว ขณะนี้นักลงทุนสถาบันระดับใหญ่เริ่มเข้ามาซื้อ เพราะมองเป็นโอกาสการลงทุน นางวัลลภา กล่าวทิ้งท้าย