อาจารย์ประเสริฐ ธนัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวว่า “Love Wins Marketing: ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม” ว่า หลัง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ในปี 2568
ส่งผลให้กลุ่มผู้บริโภค LGBTQIA+ ในประเทศไทยซึ่งมีจำนวนมากกว่า5.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 9% ของประชากรทั้งประเทศ กลายเป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจใหม่ที่น่าจับตา ทั้งในแง่พฤติกรรมการใช้จ่ายและค่านิยมในการเลือกแบรนด์หรือบริการที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์
เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมีแนวโน้มใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะในหมวดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคู่และการสร้างความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานแต่งงาน การท่องเที่ยวฮันนีมูน การวางแผนครอบครัวและการมีบุตร การซื้อที่อยู่อาศัย การวางแผนการเงิน การทำประกันและดูแลสุขภาพ
ทั้งนี้ยังพบว่ากลุ่ม LGBTQIA+ ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึงตัวตน การได้รับการยอมรับ และเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ไม่ได้มองเพียงแค่ “คุณภาพ” หรือ “ราคา” แต่ยังให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์” ที่ได้รับจากแบรนด์ที่มีความเข้าใจและเคารพความหลากหลายอย่างแท้จริง
ซึ่งหากแบรนด์สามารถสร้างสินค้าหรือบริการที่ชาว LGBTQIA+ พึงพอใจและประทับใจได้ก็จะสามารถสร้างความภักดีต่อแบรนด์ ในระยะยาวและช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพนี้ CMMU จึงได้จัดทำงานวิจัย “Love Wins Marketing: ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม” เจาะลึกพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าและบริการของชาว LGBTQIA+ใน 6 มิติหลัก ได้แก่
โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง LGBTQIA+ จาก Gen Y และ Z ทั้งหมด 374 คน เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักการตลาดสามารถนำไปต่อยอดและพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจให้ตอบสนองความต้องการของชาว LGBTQIA+ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้าน นายปกรณ์ รัตนชวนนท์ หัวหน้าทีมงานวิจัย “Love Wins Marketing: ถอดรหัสการตลาดหลัง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม” นักศึกษาสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้จะทำให้เห็
ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการและนั
จากผลสำรวจพบว่า 56.1% ของกลุ่ม LGBTQIA+ อยากจัดงานแต่งงาน โดยกลุ่มเลสเบี้ยนสนใจจดทะเบี
ซึ่งสอดคล้องกับสถิติการจดทะเบี
และที่น่าสนใจคือ 4.7% ของกลุ่มนี้มีการวางแผนใช้
พบ
สำหรับที่พักที่นิยมสำหรับฮันนี
โดยกลุ่ม Gay Gen Y มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการท่
พบว่า กลุ่ม LGBTQIA+ 54% วางแผนมีบุตรภายใน 2 ปี หลังแต่งงาน โดยกลุ่ม Lesbian Gen Z มีความต้องการมีบุตรสูงที่สุด และกลุ่ม Gay Gen Z 16.1% มีความคาดหวังที่จะมีบุ
ทั้งการปฏิสนธินอกร่างกาย (IVF) ที่มีค่าใช้จ่าย อยู่ที่ประมาณ 300,000-500,000 บาท การตั้งครรภ์แทน ค่าใช้จ่ายสูงถึง 1-2.5 ล้านบาทหรือมากกว่า และการรับบุตรบุญธรรม ที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่ 5,000-10,000บาท งานวิจัยยังชี้ว่า ค่าใช้จ่ายในการมีบุตรของกลุ่ม LGBTQIA+ สอดคล้องกับงบประมาณที่
จากผลสำรวจพบว่า 54% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็
ในขณะที่กลุ่ม Lesbian Gen Z สนใจซื้อคอนโดมิเนียมสูงถึง 44% ส่วนกลุ่ม Gay Gen Z และ Others Gen Z สนใจบ้านเดี่ยวมากกว่าที่ 40% นอกจากนี้ 86% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ยังมองหาสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ
สำหรับด้านการวางแผนการเงินกลุ่ม Lesbian วางแผนการเงินเพื่อที่อยู่อาศั
ผลการวิจัยยังพบว่า 55% ของชาว LGBTQIA+ ต่าง Gen เลือกที่อยู่อาศัยโดยให้
พบว่า 48.6% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้จ่ายกับประกันในช่วง 10,000-30,000 บาทต่อปี โดยประกันสุขภาพเป็นที่ต้
ซึ่งสอดคล้องกับความต้
พบว่า 77% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้ปัจจัยด้านราคาและคุณภาพเป็
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า 23% ของกลุ่ม LGBTQIA+ ใช้ประสบการณ์ด้านบริการเป็
ที่น่าสนใจคือ กลุ่ม Lesbian Gen Z นิยมออกเดทมากที่สุด โดย 77.8% ของกลุ่มนี้ออกเดท ส่วนที่เหลือไม่ออกเดท และยังพบว่ากลุ่ม LGBTQIA+ ใช้จ่ายเฉลี่ย 2,000-5,000 บาทต่อเดือนในการออกเดท โดย 22.46%มีการใช้จ่ายสูงกว่า 5,000 บาทต่อเดือน
อ.ประเสริฐ กล่าวต่อว่า จากผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึ
ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า ประเทศไทยยังติดอันดับใน Top Quartile ของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิ
นอกจากนี้ ผลวิจัยยังพบว่ากลุ่ม LGBTQ+ อยากมีลูกสูงถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับคนทั่
"การศึกษาครั้งนี้ไม่เพียงแต่
ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้ องการของกลุ่ม LGBTQIA+ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึ งโอกาสทางธุรกิจอันมหาศาลที่ รออยู่ ธุรกิจที่เข้ าใจและสามารถนำเสนอสินค้าหรื อบริการที่ตอบสนองความต้ องการเฉพาะของกลุ่มนี้ได้ จะมีความได้เปรียบทางการแข่งขั นอย่างมีนัยสำคัญ"