เปิด 3 สูตรปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า ถ้าทำได้ถูกลงแน่นอน

12 ธ.ค. 2567 | 14:30 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ธ.ค. 2567 | 14:42 น.

เปิด 3 สูตร ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า ตั้งแต่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ค่าผ่านท่อแก๊ส ไปจนถึงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความต้องการพลังงานและความยั่งยืนในอนาคต

หนึ่งในประเด็นที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในบทสัมภาษณ์ของ ดร.อารีพร อัศวินพงษ์พันธ์ นักวิชาการด้านนโยบายพลังงานจาก TDRI คือการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการลดค่าไฟฟ้าและสร้างความเป็นธรรมให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

ดร.อารีพร อธิบายว่าราคาค่าไฟฟ้าในปัจจุบันแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. ต้นทุนการผลิตไฟฟ้า (Generation Costs)
  2. ต้นทุนการส่งไฟฟ้า (Transmission Costs)
  3. ต้นทุนการจำหน่ายไฟฟ้า (Distribution Costs)

1. ต้นทุนการผลิตไฟฟ้า (Generation Costs) : แหล่งแก๊สและเชื้อเพลิงที่ใช้
ส่วนนี้เป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดของโครงสร้างค่าไฟ โดยประเทศไทยพึ่งพาแก๊สธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แหล่งสำคัญ ได้แก่ แก๊สจากอ่าวไทย แก๊สนำเข้าจากเมียนมา และแก๊ส LNG (Liquefied Natural Gas)

"แก๊ส LNG มีต้นทุนสูงและราคาผันผวน โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤติภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หรือสงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งส่งผลให้ราคาพุ่งสูง" ดร.อารีพรกล่าว

เพื่อแก้ปัญหานี้ เธอเสนอให้เปิดเสรีการนำเข้าแก๊สอย่างแท้จริง พร้อมทั้งผลักดันการแข่งขันทางด้านราคา ซึ่งปัจจุบัน เรามีผู้จัดการระบบกลาง (Pool Manager) ที่กำหนดราคาเพดานการนำเข้า LNG แต่ไม่มีการเปิดแข่งขันด้านราคาอย่างแท้จริง ผู้ที่สามารถนำเข้าในราคาถูกที่สุดควรได้รับโควตาการนำเข้ามากที่สุด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ค่าผ่านท่อแก๊ส (Gas Transmission Costs)
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าไฟฟ้าคือค่าผ่านท่อแก๊ส ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยค่าผ่านท่อควรคำนวณโดยพิจารณาต้นทุนการก่อสร้างและค่าเสื่อมราคาที่เหมาะสม หากปรับได้ก็จะช่วยลดค่าไฟลงเล็กน้อย แต่จะเป็นการเพิ่มความโปร่งใสและความเป็นธรรมให้กับโครงสร้างต้นทุน

3. สัญญาการซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreements - PPA)
ประเด็นที่สำคัญอีกข้อคือสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับโรงไฟฟ้าเอกชน ซึ่งมีข้อกำหนดให้จ่ายค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) แม้โรงไฟฟ้าจะไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า

"ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเสียค่าพร้อมจ่ายไปกว่า 500,000 ล้านบาท เฉพาะปี 2567 เพียงปีเดียว ค่าความพร้อมจ่ายจากโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องอยู่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท" ดร.อารีพรอธิบาย

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ควรลดการทำสัญญาระยะยาวกับโรงไฟฟ้าในอนาคต พร้อมทั้งปรับรูปแบบสัญญาใหม่ โดยให้ผู้ผลิตร่วมแบ่งปันต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อไม่ให้ภาระดังกล่าวตกอยู่กับประชาชน

การสร้างสมดุลระหว่างความต้องการและความเป็นธรรม

ดร.อารีพรยังชี้ว่าความแม่นยำในการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าเป็นอีกปัจจัยสำคัญ หากมีการคาดการณ์ที่สูงเกินจริง จะส่งผลให้ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ซึ่งในหลายกรณีไม่ได้เดินเครื่องจริง ทำให้ประชาชนต้องรับภาระต้นทุนในรูปแบบของค่าความพร้อมจ่าย

"ตัวอย่างจากแผน PDP ก่อนหน้านี้พบว่ามีการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงเกินความจริง โดยใช้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่สูงเกินไป หากปรับลดตัวเลขนี้ให้เหมาะสม จะช่วยลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และส่งผลให้ค่าไฟฟ้าถูกลง"

พลังงานสะอาด: ทางรอดในอนาคต

ท้ายที่สุด ดร.อารีพรเน้นว่าพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ วินด์ และไฮโดรพาวเวอร์ จะเป็นตัวแปรสำคัญในการลดต้นทุนในระยะยาว แต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้งานให้มากขึ้น

"การปรับโครงสร้างราคาพลังงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากทำได้จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าในประเทศไทยถูกลงและเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมในระยะยาว" ดร.อารีพรกล่าวปิดท้าย