วันไหว้พระจันทร์มากกว่าแค่เทศกาล เจาะลึกประวัติศาสตร์-มูลค่าทางเศรษฐกิจ

12 ก.ย. 2567 | 13:30 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ย. 2567 | 13:57 น.

เทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือ จงชิวเจี๋ย หนึ่งในเทศกาลสำคัญของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน กำลังจะกลับมาอีกครั้งในวันที่ 17 กันยายน 67 โดยเทศกาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเฉลิมฉลองตามประเพณี แต่ยังมีความหมายลึกซึ้งทางประวัติศาสตร์และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล

วันไหว้พระจันทร์ หรือ เทศกาลไหว้พระจันทร์ เป็นเทศกาลสำคัญของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน ซึ่งมีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีประชากรชาวจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย

ตำนานเล่าขานสู่เทศกาลใหญ่

ต้นกำเนิดของเทศกาลไหว้พระจันทร์นั้นน่าสนใจไม่น้อย โดยเชื่อกันว่าต้นกำเนิดมาจากตำนานจีนโบราณที่เล่าขานกันสืบต่อกันมา โดยเชื่อกันว่าในสมัยราชวงศ์หมิง มีกบฏที่พยายามโค่นล้มราชวงศ์ จึงมีการออกกฎห้ามประชาชนจุดตะเกียงและทานขนมเค้กกลม เพื่อป้องกันการติดต่อสื่อสารและส่งสัญญาณให้แก่กบฏ

แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ซ่อนเค้กไว้ในเสื้อผ้าและนำไปให้สามีที่ถูกกักขัง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มกบฏ ทำให้แผนการของกบฏถูกเปิดโปงและล้มเหลว ในที่สุดกบฏก็ถูกปราบปรามได้สำเร็จ และชาวบ้านจึงได้ฉลองชัยชนะด้วยการทำขนมเค้กกลมและจุดตะเกียงเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น

เทศกาลไหว้พระจันทร์หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า "จงชิวเจี๋ย" (中秋节)  เทศกาลแห่งความสุขของชาวจีนทั่วโลก ตรงกับวันเพ็ญเดือน 8 ตามปฏิทินจีน หรือประมาณกลางเดือนกันยายนของทุกปี โดยปีนี้ตรงกับวันที่ 17 กันยายน

มูลค่าทางเศรษฐกิจของเทศกาลไหว้พระจันทร์

เทศกาลไหว้พระจันทร์ไม่เพียงแต่เป็นเทศกาลทางวัฒนธรรมที่สำคัญ แต่ยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลให้กับหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ขนมเค้กไหว้พระจันทร์เป็นสินค้าหลักที่มียอดขายสูงสุดในช่วงเทศกาลนี้ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ของขวัญ ของไหว้ และสินค้าตกแต่ง ซึ่งล้วนแต่สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ

ข้อมูลจาก “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” มูลค่าตลาดขนมไหว้พระจันทร์ในไทยปี 2561 อยู่ที่ 900 ล้านบาท และปี 2562 อยู่ที่ 950 ล้านบาท แต่ในปี 2563 เกิดการระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ตลาดนี้หดตัว 15 - 17.5% เหลือมูลค่า 800 ล้านบาท

ในปี 2564 เป็นปีที่ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิดต่อเนื่อง และเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว จึงทำให้มูลค่าตลาด “ขนมไหว้พระจันทร์” ลดลงอยู่ที่ประมาณ 755 ล้านบาท หดตัว 5.7% จากปี 2563 ที่หดตัว 15.8%

วันไหว้พระจันทร์มากกว่าแค่เทศกาล เจาะลึกประวัติศาสตร์-มูลค่าทางเศรษฐกิจ

ซึ่งในปี 67 คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะพุ่งประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยมาจากการฟื้นตัวของสถานการณ์โควิด และการกระตุ้นตลาดของหลากหลายแบรนด์ที่ตบเท้าเข้ามากระตุ้นตลาด

อย่างไรก็ตามในบ้านเราแบรนด์ขนมไหว้พระจันทร์ที่หลายคนคุ้นเคยหนีไม่พ้น เอส แอนด์ พี มียอดขายขนมไหว้พระจันทร์สูงถึง 4 ล้านชิ้น ต่อปี

ปัจจัยที่ส่งผลต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของเทศกาลไหว้พระจันทร์

การขยายตัวของชนชั้นกลางในหลายประเทศ ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นและพร้อมที่จะใช้จ่ายเพื่อการเฉลิมฉลองเทศกาล ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์และความพิเศษ ทำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการ

รวมถึงการตลาดออนไลน์ การใช้โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทำให้การทำการตลาดและการขายสินค้าในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นไปได้ง่ายขึ้นและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น

เทศกาลไหว้พระจันทร์จากความเชื่อสู่การสยายปีกตลาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในวงกว้าง สร้างงานให้กับผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ให้บริการในหลายภาคส่วน รวมถึง:การใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นโอกาสในการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี

เทศกาลไหว้พระจันทร์ไม่เพียงแต่เป็นเทศกาลที่สำคัญทางวัฒนธรรม แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม การทำความเข้าใจถึงประวัติความเป็นมาและมูลค่าทางเศรษฐกิจของเทศกาลนี้