วันแม่แห่งชาติ 2567 เปิดเดินรถไฟทางคู่สายใต้ จากนครปฐมถึงชุมพร 12 ส.ค.นี้

11 ส.ค. 2567 | 18:47 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ส.ค. 2567 | 19:25 น.

วันแม่แห่งชาติ 2567 การรถไฟฯ พร้อมเปิดเดินรถทางคู่สายใต้ 421 กม. จากนครปฐมถึงชุมพร แบบไร้รอยต่อ เริ่มวันที่ 12 สิงหาคมนี้ ทั้งอัพเดตโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่อีก 2 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ และช่วงบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายให้การรถไฟฯ เร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ และรถไฟสายใหม่ทั่วประเทศให้แล้วเสร็จตามแผนงาน 

เปิดเดินรถทางคู่ จากนครปฐมถึงชุมพร แบบไร้รอยต่อ วันที่ 12 ส.ค.นี้

ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งทางราง ให้เป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ และสามารถอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน ตลอดเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าได้ทุกภูมิภาค  

ล่าสุด การรถไฟฯ ได้เร่งดำเนินการตรวจสอบความพร้อมของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงย่านสถานีนครปฐม – ประแจสับหลีก ระยะทาง 1 กิโลเมตรที่ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งผลการตรวจสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

การรถไฟฯ พร้อมที่จะเปิดใช้งานรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐมชุมพร แบบไร้รอยต่อ ได้ตลอดเส้นทาง รวมระยะทางทั้งสิ้น 421 กิโลเมตร ในวันที่ 12 สิงหาคม 2567 วันแม่แห่งชาติ 2567

ส่วนการใช้ระบบทางสะดวกอิเล็กทรอนิกส์ (E-token) ในการเดินรถระหว่างที่มีการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ ปัจจุบันมีความคืบหน้าแล้ว 61.323% คาดว่าจะใช้งานได้เต็มระบบภายในปี 2568 จะช่วยลดระยะเวลาเดินทางแก่ประชาชน 

รถไฟทางคู่สายใต้

อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบการขนส่ง เส้นทางท่องเที่ยวของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และธุรกิจขนส่งสินค้าอื่นได้ อีกด้วย  

สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ ช่วงนครปฐม - ชุมพร นับเป็นเส้นทางสำคัญในการเชื่อมต่อการเดินทางลงสู่ภาคใต้ โดยมีการก่อสร้างทางรถไฟใหม่ขนาด 1 เมตร ขนานไปกับทางรถไฟเส้นเดิม 

รถไฟทางคู่สายใต้ 421 กม. จากนครปฐมถึงชุมพร

เริ่มจากสถานีนครปฐม จังหวัดนครปฐม ผ่าน จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปยังสถานีชุมพร จังหวัดชุมพร พาดผ่านพื้นที่เศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยวของภาคกลางตอนล่าง เช่น ชะอำ หัวหิน และเป็นประตูเชื่อมโยงไปสู่ภาคใต้ 

ทั้งนี้ รูปแบบโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นคันทางระดับดิน และทางรถไฟยกระดับช่วงผ่านตัวเมือง ซึ่งมีจุดแลนด์มาร์คก่อสร้างที่สำคัญพิเศษ 2 แห่ง คือ สถานีหัวหินแห่งใหม่ เป็นสถานียกระดับ มี 3 ชั้น ซึ่งมีความสวยงามสอดคล้องกับรูปแบบสถาปัตยกรรมของสถานีหัวหินเดิม 

วันแม่แห่งชาติ 2567 เปิดเดินรถไฟทางคู่สายใต้ จากนครปฐมถึงชุมพร 12 ส.ค.นี้

รวมทั้งยังมีสะพานรถไฟแบบคานขึง (Extradosed Railway Bridge) แห่งแรกของประเทศ ที่ใช้เทคนิคการก่อสร้างสมัยใหม่ หลีกเลี่ยงการก่อสร้างเสาในแม่น้ำแม่กลอง ทำให้มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ พร้อมเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดราชบุรี 

นายเอกรัชกล่าวว่า นอกจากการพัฒนาเส้นทางรถไฟสายใต้แล้ว การรถไฟฯ ยังอยู่ระหว่างดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่อีก 2 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ และช่วงบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม ซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าในก่อสร้าง ดังนี้

1. โครงการรถไฟสายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญา 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. ก้าวหน้าแล้ว 12.038% สัญญา 2 ช่วงงาว –เชียงราย ระยะทาง 132 กม. ก้าวหน้าแล้ว 15.055% และสัญญา 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. ก้าวหน้าแล้ว 11.507%

2. โครงการรถไฟสายใหม่ บ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม สัญญา 1 ช่วงบ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 180 กม.  ก้าวหน้าแล้ว 9.512% สัญญา 2 ช่วงหนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กม.  ก้าวหน้าแล้ว 0.184%

ขณะเดียวกันยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 เพิ่มเติมอีก 7 เส้นทาง ได้แก่ ช่วงขอนแก่น – หนองคาย ซึ่งอยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา

ส่วนช่วงปากน้ำโพ - เด่นชัย ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี ช่วงชุมพร – สุราษฎร์ธานี ช่วงสุราษฎร์ธานี - ชุมทางหาดใหญ่ – สงขลา และช่วงชุมทางหาดใหญ่ – ปาดังเบซาร์ อยู่ในขั้นตอนเตรียมการจัดทำข้อมูลเพื่อรอเสนออนุมัติโครงการ

ส่วนโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงเด่นชัย - เชียงใหม่ ได้มีการจัดทำข้อมูลเพื่อเสนอขออนุมัติโครงการ รวมถึงกำลังทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ)  

วันแม่แห่งชาติ 2567 เปิดเดินรถไฟทางคู่สายใต้ จากนครปฐมถึงชุมพร 12 ส.ค.นี้

นายเอกรัชกล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง และเส้นทางสายใหม่ 2 เส้นทางแล้วเสร็จ จะทำให้การรถไฟฯ มีรถไฟทางคู่ครอบคลุมการเดินทางมากกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศ มีเส้นทางคู่รวมกันมากกว่า 2,370 กิโลเมตร ภายในปี 2572 

โดยจะช่วยเพิ่มสัดส่วนทางคู่ทั่วประเทศมากถึง 10 เท่า หรือคิดเป็น 65 % ของระยะทางรวมทั้งหมด มากกว่าเดิมที่มีทางคู่เพียง 6 % สามารถรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าและการขนส่ง อีกทั้งช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางได้ 1–1.50 ชั่วโมง

สามารถถึงจุดหมายได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งด้านโลจิสติกส์ ได้มหาศาล อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางเสมอระดับรถไฟ-รถยนต์ 

วันแม่แห่งชาติ 2567 เปิดเดินรถไฟทางคู่สายใต้ จากนครปฐมถึงชุมพร 12 ส.ค.นี้

ที่สำคัญโครงการรถไฟทางคู่ยังช่วยสร้างการเติบโตของประเทศได้อีกหลายมิติ สามารถกระจายโอกาสทางสังคม เพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค ทั้งในพื้นที่ชนบท เมือง ตลอดจนเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านเข้าด้วยกันได้อย่างไร้รอยต่อ 

การรถไฟฯ มั่นใจว่าโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ครั้งนี้จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย และพลิกโฉมระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ ให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมของภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง