"ส.อ.ท." แนะรวมกลุ่มอาเซียนเพิ่มอำนาจต่อรองผู้ค้าน้ำมันรับมือสงคราม

16 เม.ย. 2567 | 12:32 น.
อัปเดตล่าสุด :16 เม.ย. 2567 | 12:32 น.

"ส.อ.ท." แนะรวมกลุ่มอาเซียนเพิ่มอำนาจต่อรองผู้ค้าน้ำมันรับมือสงคราม หลังมีปัญหาความตรึงเครียดจากกรณีอิหร่านกับอิสราเอล พร้อมเดินหน้าหาแหล่งจำหน่ายพลังงาน ทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติใหม่

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงมุมมองในการรับมือต่อปัญหาพลังงานจากความตึงเครียดจากกรณีอิหร่านกับอิสราเอล ว่า จะต้องติดตามสถานการณ์ และวิเคราะห์ผลกระทบอย่างใกล้ชิด โดยในระยะสั้นจะต้องสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนทุกภาคส่วนช่วยกัน ส่งเสริม Energy efficiency หรือการประหยัดน้ำมัน พลังงาน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนระยะกลางและระยะยาวต้องการให้ภาครัฐ ส่งเสริมนโยบายลดการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันดิบ โดยการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานที่ประเทศไทยสามารถผลิตได้เอง เช่น เอทานอล โดยการดัน E20 แทน E10 
 

ทั้งนี้ ควรมีการส่งเสริม Bio Diesel (ไบโอดีเซล) รวมทั้งการส่งเสริมลดต้นทุนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ ในภาคเกษตร ทั้งอ้อยมันสำปะหลังและปาล์มน้ำมัน อย่างจริงจัง รวมทั้งระบบโลจิสติกส์ของทั้งเอทานอลและไบโอดีเซล 

นอจากนี้ ประเด็นที่สำคัญก็คือ จะต้องมีการรวมพลังในกลุ่มอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับผู้ค้าน้ำมันเดิม และมองหาแหล่งจำหน่าย พลังงาน ทั้ง น้ำมันและก๊าซธรรมชาติใหม่ เนื่องจากไทยไม่มีอำนาจต่อรองเพียงพอ จึงต้องต่อรองร่วมกันในนามอาเซียน 

อีกทั้งยังต้องมีการการส่งเสริมใช้พลังงานไฟฟ้า ด้าน Supply การใช้พลังงานทดแทน และพลังงานสะอาดแทน ในการผลิตไฟฟ้า 

ด้าน Demand จะต้องส่งเสริมใน EV TRUCK ,EV BUS มากขึ้น แทนพลังงานฟอสซิล และส่งเสริมการขนส่งมวลชน (mass transportation) ทั้งทางราง และทางน้ำ แทนทางถนนมากขึ้น

"ไทยควรเร่งสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศด้วยตัวเอง ด้วยการลดการพึ่งพาพลังงานพลังงานฟอสซิลจากการนำเข้า และส่งเสริมพืช พลังงานหมุนเวียน RE ของไทยอย่างจริงจัง  รวมทั้งปรับโหมด Mass Transportation ที่เป็นต้นทุนด้านการขนส่ง (Logistics) หลักของประเทศ ลดการขนส่งทางถนนเพิ่มการขนส่งทางราง"