KEY
POINTS
นางนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานของธุรกิจร้าน เดอะ คอฟฟี่ คลับใน ปี 2566 ที่ผ่านมา ที่มีการเติบโตอยู่ที่ 32% เมื่อเทียบกับปี 2565 พลิกทำกำไรได้ในรอบหลายปี อันเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายทั้งการตอบโจทย์ลูกค้า 3 ส่วนหลักได้แก่ กลยุทธ์ขยายสาขา-ปรับเมนู-ดึงลูกค้าคนไทย
เราดำเนินธุรกิจมากว่า 18 ปีในตลาดที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Red Ocean ที่การแข่งขันสูงทั้งคู่แข่งทางตรงและทางอ้อม กลยุทธ์การตลาดที่ฝ่าการแข่งขันมาได้ ปรับเมนุให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านการพัฒนาเมนูใหม่ ๆ ที่พัฒนาจากอินไซด์คนไทยที่ปัจจุบันนิยมบริโภคชาไทยมากขึ้น การขยายฐานลูกค้าด้วยการมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ผ่านระบบสะสมแต้มเพื่อสร้างรอยัลตี้ และการขยายสาขาให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
โดยในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้มีการขยายสาขาเพิ่ม 5 สาขา ประกอบด้วย สาขาโบ๊ท ลากูน สาขาโอลด์ทาวน์ สาขาพาร์ค สีลม สาขาสเตย์บริดจ์ ทองหล่อ และเดอะปาร์ค ส่วนในปี 2567 เตรียมเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “เดอะ คอฟฟี่ คลับ" คลิกเลือกจังซีลอน ภูเก็ต นำร่อง Small Concept https://www.thansettakij.com/business/marketing/557128
สำหรับ Loyalty program เป็นหนึ่งในเครื่องมือ(CRM) ที่ทำให้ลูกค้าคนไทย หันมาเป็นลูกค้ามากขึ้น เช่น มองสิทธิประโยชน์แอปพลิเคชัน The Coffee Club , การใช้ดับเบิ้ลพ้อย และ โมเดล Subscription ที่ลูกค้าสามารถซื้อแพครายเดือน 10-15 ครั้ง จะได้กาแฟในราคา 53-59 บาทต่อแก้ว จากปกติราคาเฉลี่ยหลักร้อย เพื่อเพิ่มความถี่ให้ลุกค้ากลับมาซื้อซ้ำ หรือมีการจัดเซ็ตสั่งซื้อจำนวนเยอะจะถูกกว่าเพื่อตีตลาดพนักงานออฟฟิศเนื่องจากหลายสาขาอยู่ในเขตของคนทำงาน รวมถึงยังร่วมกับพันธมิตร อย่างเครือข่ายมือถือและบัตรเครดิต
“เดิมทีสัดส่วนลูกค้าเดิมเป็นต่างชาติ แบ่งเป็น 65๔ % คนไทย 35% ทำให้แบรนด์ต้องบุกตลาดคนไทยมาขึ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนให้เป็น 50:50 ซึ่งในปี 67 ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลุกค้าคนไทยเป็น 40% โดยใช้กลยุทธ์ Loyalty program เราเริ่มจาก Upside-down ให้สิทธิประโยชน์ เริ่มจากกินฟรี ให้ลูกค้าได้ชิมก่อนเลย ถ้าโหลดแอปฯ จากนั้นเมื่อเขารู้ว่า กาแฟเราอร่อย แล้วก็จะเกิดการซื้อซ้ำ เพราะเราต้องการให้เกิดความถี่ นำไปสู่การบอกต่อลูกค้าคนอื่นๆ ปัจจุบันมีสมาชิกเมมเมอร์กว่า 2 แสนราย” นางนงชนก กล่าวเสริม
ตลอดจนการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม อาทิ การปรับใช้ Eco-Friendly Packaging แก้วกระดาษใส่เครื่องดื่มร้อน และแก้วไบโอผลิตขึ้นจากวัสดุธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย สำหรับใส่เครื่องดื่มเย็น การใช้ฝาแก้วแบบ Sip Lid ที่สามารถยกดื่มได้ไม่ต้องใช้หลอด ตลอดจนการให้ความสำคัญด้านสวัสดิภาพสัตว์ผ่านการใช้ไข่ไก่แบบ Cage Free Eggs ที่ผ่านวิธีการเลี้ยงแม่ไก่แบบปล่อยอิสระในโรงเรือนระบบปิด ที่สะอาด ปลอดภัย ช่วยให้แม่มีอิสระ อารมณ์ดี ทำให้ได้ไข่ไก่ที่มีสารอาหารครบถ้วน มาเป็นวัตถุดิบในการทำเมนูอาหารให้ลูกค้า เป็นต้น