ตลาดค้าปลีกมะกัน 338 ล้านล้าน ยังเป็นโอกาสสินค้าไทย

28 ก.พ. 2567 | 16:30 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.พ. 2567 | 17:06 น.

“สหรัฐอเมริกา” ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ปี 2566 ล่าสุด ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯมีมูลค่า 26.95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือกว่า 943.25 ล้านล้านบาท)

ขณะที่ตลาดค้าปลีกในสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 9.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 338 ล้านล้านบาท ทำให้ตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดที่มีความหอมหวนสำหรับสินค้าส่งออกจากทั่วโลก รวมถึงสินค้าไทย

นายประมุข  เจิดพงศาธร ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท PJUS GROUP,USA ผู้จัดหาและนำเข้าสินค้าไทยป้อนให้กับตัวแทนจำหน่าย ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และเรือนจำในสหรัฐ และในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการค้าระหว่างประเทศ (HTA) ของกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงสถานการณ์ตลาดค้าปลีกในสหรัฐ ว่า ช่วง 2-3 ปีมานี้ ตั้งแต่เกิดโควิดทางห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐเกิดแนวคิดที่จะทำแบรนด์สินค้าของตัวเองมากขึ้น ทั้งนี้การทำแบรนด์สินค้าของตัวเองอย่างน้อยที่สุดราคาสินค้าจะถูกกว่า และขายได้มากกว่าแบรนด์ดัง ๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด และแบรนด์สินค้าตัวเองยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าในอนาคต

 

“ช่วง 10 กว่าปีมานี้ ผมเดินทางพบปะกับเจ้าของหรือผู้บริหารระดับสูงของห้าง จนสนิทกันและเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เพราะฉะนั้นเวลาเขามีอะไรเขาก็อยากจะให้เราทำ ตรงนี้ถือเป็นอานิสงส์ หรือเป็นผลบุญหรือกรรมดีที่เราสร้างไว้ และมาผลิดอกออกผลในช่วงนี้”

 

ประมุข  เจิดพงศาธร ประธานกรรมการบริหาร PJUS Group

 

  • ทำในสิ่งที่ลูกค้าอยากให้ทำ

สำหรับหลักคิดในการทำงาน ตนพูดอยู่เสมอว่า “จะทำสินค้าในสิ่งที่เขาอยากให้เราทำ แต่เราจะไม่ทำในสิ่งที่คิดว่ามันดี” จากประสบการณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบันในการสร้างแบรนด์ ในการสร้างความน่าเชื่อถือสำหรับตนเริ่มจากศูนย์ ซึ่งการที่เริ่มมาจากศูนย์ทำให้ผ่านร้อนผ่านหนาว ถ้าเจออะไรที่หนัก ๆ ที่เรียกว่าวิบากกรรมเราผ่านมาหมดแล้ว ข้อดีจากตรงนั้นคือ เวลามีปัญหาหนัก ๆ ทำให้ต้องมีความอดทน คิดแก้ปัญหาทีละจุด ต้องมีสติสัมปชัญญะ ก็จะแก้ปัญหานั้นได้ และจากความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า

สำหรับสินค้าที่ท่างกลุ่มทำตลาดในสหรัฐในเวลานี้ นายประมุขเผยว่า มีประมาณ 20 กว่ารายการ ซึ่งมีเป้าหมายจะทำไปให้ถึง  50 รายการ  โดยสินค้าเด่นของกลุ่มในขณะนี้มีข้าวหอมมะลิ  ข้าวออร์แกนิค และข้าวชนิดต่าง ๆ ในแบรนด์ Queen Elephant  มีน้ำมะพร้าว น้ำกะทิ ซอสศรีราชา ซอสกระเทียม น้ำจิ้มไก่ และอื่น ๆ โดยมีคู่ค้าในสหรัฐหลักร้อยราย มีช่องทางการจัดจำหน่ายหลายพันสาขา โดยสินค้าของกลุ่มมีเป้าหมายกลุ่มลูกค้าฮิสแปนิก กลุ่มลูกค้าชาวอเมริกันทั่วไป และลูกค้ากลุ่มเรือนจำ 

 

 

  • สงคราม-วิกฤตทะเลแดงดันต้นทุนพุ่ง

“สินค้าที่เราทำตลาดในสหรัฐจะป้อนให้กับผู้นำเข้าหรือตัวแทนจำหน่ายเพื่อส่งเข้าห้างอีกที และส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่เราส่งตรงให้กับห้าง ซึ่งเราบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ ติดต่อกับสายเดินเรือ การจัดเก็บสินค้า และส่งมอบเองทั้งหมดครบวงจร เวลานี้ผลจากวิกฤตในทะเลแดงที่มีการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าที่วิ่งผ่าน ทำให้การบริหารจัดการเรื่องเรือมีความยุ่งยากมากขึ้น ขณะที่ค่าระวางเรือ รวมค่าเซอร์ชาร์จต่าง ๆ จากการเสี่ยงภัย สำหรับเส้นทางไปยังฝั่งตะวันตกของสหรัฐขยับจาก 1,200 เหรียญต่อตู้ขนาด 20 ฟุต เพิ่มเป็น 4,000 เหรียญต่อตู้ ส่วนฝั่ง East Coast ขึ้นไปถึง 7,000-8,000 เหรียญต่อตู้ เพราะหาเรือยาก ทำให้ทางกลุ่มมีภาระต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น หากเป็นออร์เดอร์เก่า เช่นเซ็นสัญญาส่งมอบถึงเดือนมิถุนายนก็ไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้ ทั้งนี้ในเรื่องสงคราม และสถานการณ์ในทะเลแดง ทำให้เศรษฐกิจ การค้าโลกเกิดความไม่แน่นอนขึ้นอีกรอบ”

อย่างไรก็ดีในช่วงที่ผ่านมาทางกลุ่มมีอุปสรรคมากมายในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าระวางเรือที่ปรับขึ้น ความไม่มั่นใจของคู่ค้าว่าจะได้รับมอบสินค้าตรงเวลาหรือไม่จากเหตุการณ์ต่าง ๆ แต่จากประสบการณ์หรือการเรียนรู้ที่ทางกลุ่มได้สั่งสมมา ทำให้รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรในสถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ  ขณะที่ทางกลุ่มยังเป็นหุ้นส่วนและเป็นคู่ค้ากับโรงงานในไทย มีการวางแผนการปลูกพืชวัตถุดิบ การแปรรูป การผ่านมาตรฐานฟู้ดเซฟตี้ต่าง ๆ ในระดับสากล ได้มาตรฐานฉลากขององค์การอาหารและยาของสหรัฐ (US FDA)ทำให้สินค้าของไทยได้รับการยอมรับ และได้รับความเชื่อถือในตลาดสหรัฐฯ”

  • จากข้าวหอมมะลิสู่ผลไม้แปรรูป

นอกจากข้าวหอมมะลิ และสินค้าอาหารข้างต้นที่ทางกลุ่มทำตลาดในสหรัฐและกำลังไปได้ดีในเวลานี้แล้ว ล่าสุดลูกค้าในสหรัฐฯยังไว้วางใจให้ทางกลุ่มเป็นผู้จัดหาสินค้าผลไม้อบแห้ง และผลไม้แปรรูปเพื่อนำไปจำหน่าย จากเห็นว่าเป็นอีกกลุ่มสินค้าที่มีอนาคต สอดคล้องกับนโยบายของนายนภินทร  ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่อยากให้ทางกลุ่มนำผลไม้แปรรูปของไทยไปขยายตลาดในสหรัฐ

ผลพวงจากเวลานี้ ผลไม้ไทยหลายชนิดยังพึ่งพาความต้องการของตลาดจีนเป็นหลัก เช่น ทุเรียน ลำไย เงาะ ลิ้นจี่ ขณะเศรษฐกิจจีนในขณะนี้อยู่ในภาวะชะลอตัว ทำให้มีความน่าเป็นห่วงต่อผลผลิตที่กำลังจะออกมา แนวทางออกหนึ่งในการแก้ปัญหาในระยาวคือ ผลิตเป็นผลไม้อบแห้งหรือผลไม้แปรรูปเพื่อส่งออกไปสหรัฐ

“ผลไม้อบแห้งที่ลูกค้าอยากให้เราทำเป็นผลไม้ แทบทุกชนิด ซึ่งในโอกาสที่ผมได้เข้าพบคุณนภินทร  ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผมได้บอกท่านว่า ผลไม้อบแห้งนี้เป็นโอกาสของไทย โดยได้ยกตัวอย่าง มะม่วงอบแห้งออร์แกนิคซึ่งทำจากเม็กซิโก ซึ่งผมได้กินและเทียบกับของไทยแล้ว ของไทยเราอร่อยกว่า และผมได้ศึกษาแล้ว ทางโรงงานที่กำลังจะร่วมกันก็บอกว่าทำได้และที่ผ่านมาก็มีการส่งออกไปอเมริกาแล้วด้วย ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ซึ่งผมกำลังจะนำคณะผู้บริหารห้างหรือบริษัทเหล่านี้เข้ามาประเทศไทยเพื่อมา audit โรงงาน เพื่อมาดูแหล่งเพาะปลูก และอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจและจะได้เป็นแนวทางที่จะขยายตลาดในสหรัฐที่ยังมีโอกาสต่อไป”