เช็คสถานะล่าสุด ก.ย.นี้ เปิดนั่งรถไฟทางคู่สายใต้ 3 เส้นทาง

22 ก.ค. 2566 | 13:55 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ค. 2566 | 16:39 น.

การรถไฟฯ กางแผนอัพเดทรถไฟทางคู่สายใต้ 3 เส้นทาง เตรียมเปิดเดินรถภายในเดือนก.ย.นี้ มั่นใจเพิ่มสัดส่วนระบบรางทั่วประเทศ 65 % รองรับปริมาณขนส่งสินค้าเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า  ความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วนว่า ตามที่การรถไฟฯ ได้ลงนามสัญญาโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 เส้นทาง และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง ตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2565 นั้น รฟท.ได้ติดตามดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายรถไฟทางคู่สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนที่กำหนด ส่งผลให้ขณะนี้การดำเนินโครงการต่างๆ มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

 

สำหรับโครงการดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้แล้ว 2 โครงการ ได้แก่  1. โครงการช่วงชุมทางฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า – แก่งคอย 2. โครงการช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น  
 

ขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างและใกล้แล้วเสร็จ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการช่วงนครปฐม - หัวหิน โครงการช่วงหัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์ และโครงการช่วงประจวบคีรีขันธ์ – ชุมพร ได้แก่  1. โครงการช่วงนครปฐม-หัวหิน สัญญา 1 นครปฐม-หนองปลาไหล ระยะทาง 93 กม. ผลงาน 97.183% ส่วนสัญญา 2 หนองปลาไหล-หัวหิน ระยะทาง 76 กม.  ผลงาน 97.535%  2. โครงการช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์  ระยะทาง 84 กม. ผลงาน 99.999% 3. โครงการช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร สัญญา 1 ประจวบคีรีขันธ์-บางสะพานน้อย ระยะทาง 88 กม.  ผลงาน 93.510% สัญญา 2 บางสะพานน้อย-ชุมพร ระยะทาง 79 กม.  ผลงาน 96.523% และส่วนงานระบบอาณัติสัญญาณสายใต้ ระยะทาง 420 กม.  ผลงาน 48.147%

เช็คสถานะล่าสุด ก.ย.นี้ เปิดนั่งรถไฟทางคู่สายใต้ 3 เส้นทาง

ทั้งนี้ในภาพรวมของทั้ง 3 โครงการ ในส่วนของงานโยธาได้ดำเนินการใกล้เสร็จครบทั้งหมด และเริ่มมีการทดลองเปิดใช้ทางคู่ใหม่บางช่วงเพื่อทดสอบระบบทางไปแล้ว จากนั้นการรถไฟฯ มีแผนเปิดใช้งานจริงช่วงเดือนกันยายน 2566 โดยเริ่มจากสถานีนครปฐม ถึงสถานีสะพลี อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร จากนั้นจะขยายไปจนถึงปลายทางที่สถานีชุมพรในปลายเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งจะดำเนินการคู่ขนานไปกับงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม และตั้งเป้าหมายจะเปิดใช้งานได้เต็มระบบภายในปี 2568 
 

ส่วนโครงการรถไฟที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 2 โครงการ ได้แก่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ และช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ประกอบด้วย ดังนี้ 1. โครงการช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญา 1 บ้านกลับ-โคกกะเทียม ระยะทาง 32 กม.  ผลงาน 86.67% สัญญา 2 ท่าแค-ปากน้ำโพ ระยะทาง 116 กม.  ผลงาน 78.44% ส่วนงานระบบอาณัติสัญญาณ สายเหนือ ระยะทาง 148 กม. ผลงาน 32.160%

เช็คสถานะล่าสุด ก.ย.นี้ เปิดนั่งรถไฟทางคู่สายใต้ 3 เส้นทาง

2. โครงการช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ  สัญญา 1 มาบกะเบา-คลองขนานจิตร ระยะทาง 58 กม.  ผลงาน 96.220% สัญญา 2 คลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ1 ระยะทาง 69 กม. ยังไม่ได้ลงนามสัญญา  สัญญา 3 อุโมงค์รถไฟ  ระยะทาง 5 กม.  ผลงาน 98.137%  ส่วนงานระบบอาณัติสัญญาณ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 21.560%

 

นอกจากนี้โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ในช่วงเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ และช่วงบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม ขณะนี้มีแผนก่อสร้างอยู่ระหว่างดำเนินการ 4 สัญญา ดังนี้

 

1. เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญา 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. ผลงาน 0.934% สัญญา 2 ช่วงงาว –เชียงราย ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 2.157% สัญญา 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. ผลงาน 1.485% 2. บ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม สัญญา 1 ช่วงบ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 180 กม.  ผลงาน 0.112% สัญญา 2 ช่วงหนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กม.  ผลงาน 0.007%

 

อย่างไรก็ตามเมื่อการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 7 เส้นทาง และเส้นทางสายใหม่ 2 เส้นทางแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มสัดส่วนทางคู่ทั่วประเทศมากถึง 10 เท่า หรือคิดเป็น 65 % ของระยะทางรวมทั้งหมด มากกว่าเดิมที่มีทางคู่เพียง 6 % อีกทั้งยังช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางได้ 1–1.50 ชั่วโมง รองรับปริมาณการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนสู่การขนส่งทางรางที่มีต้นทุนต่ำกว่า  ตลอดจนเชื่อมโยงกับขนส่งกับประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วย