PTG เปิดโรดแม็ป ปั้น “กาแฟพันธุ์ไทย” เข้าตลาดหุ้น

12 พ.ค. 2566 | 17:05 น.
อัปเดตล่าสุด :12 พ.ค. 2566 | 17:11 น.

PTG เตรียมส่ง "กาแฟพันธุ์ไทย" เข้าตลาดหลักทรัพย์ วาง 4 กลยุทธิ์เพิ่มยอดขาย-ขยายสาขาผ่านแฟรนไชส์ 3 โมเดล คาดสิ้นปีเบียดขึ้นเบอร์ 2 แบรนด์กาแฟสัญชาติไทย

ตลาดกาแฟไทยมูลค่า 6 หมื่นล้านยังเติบโตต่อเนื่อง  "พีทีจี เอ็นเนอยี" เร่งเครื่อง "กาแฟพันธุ์ไทย" ทั้งจำนวนสาขา-กำไร ชิงเบอร์ 2 ตลาดกาแฟแบรนด์ไทยภายในสิ้นปีนี้ พร้อมเขย่าโครงสร้างปรับสัดส่วนธุรกิจ ปักธงร้านกาแฟนอกปั๊มน้ำมัน60-70% ผ่านระบบแฟรนไชส์ 3 โมเดล ปั้มยอดสาขาแตะ 5000 สาขา-กำไร 2 เท่าปูทางเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2568 

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และบริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด  เปิดเผยว่า มูลค่าตลาดกาแฟโลกในช่วงปี 2564-2566 มีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่องปีละ 9% คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1.91 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ภาพรวมตลาดกาแฟของประเทศไทยปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราวๆ 60,000 ล้านบาทแบ่งเป็นกาแฟนอกบ้าน 27,000 ล้านบาทและกาแฟในบ้าน 55% เติบโตเฉลี่ยปีละ 9.5%  และมีการบริโภคกาแฟสูงถึง 70,000 ตันต่อปี ขณะที่ประเทศไทยผลิตได้เองเพียง 10,000 ตันต่อปี สะท้อนให้เห็นว่า กาแฟในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

 

 

ในส่วนของ “กาแฟพันธุ์ไทย” ปัจจุบันรั้งอันดับ 3 ของตลาดกาแฟแบรนด์ไทยและคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะสามารถขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของตลาดทั้งในมุมของจำนวนสาขาและยอดขาย โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายของกาแฟพันธุ์ไทยทั้งปี 2566 ไว้ที่ราวๆ 350 ล้านบาท เติบโต 80% และวางเป้าในส่วนของกำไร 200%หรือเติบโต 2 เท่าผ่านการขยายแฟรนไชส์ 1,500 สาขา เพื่อเป็นการปูทางเป้าหมายใหญ่

กาแฟพันธุ์ไทย

“โพชิชั่นของแบรนด์ “กาแฟพันธุ์ไทย ”เราต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่และวัยทำงานเป็นหลัก อนาคตสัดส่วนของสาขาที่เราต้องการคือการขยายสาขานอกสถานีบริการน้ำมัน 60-70% ภายใน 3-4 ปี หรือภายในปี2570 ต้องมีร้านกาแฟพันธุ์ไทยไม่น้อยกว่า 5000 สาขา และเรายังมีแผนนำธุรกิจ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2568” 

 

ทั้งนี้ PTG ได้วางกลยุทธ์เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายผ่าน 4 กลยุทธ์ได้แก่ 1การขยายสาขาทั่วประเทศด้วยโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ ปัจจุบันร้านกาแฟพันธุ์ไทยเปิดให้บริการกว่า 600 สาขา มีสัดส่วนของสาขาที่อยู่ในสถานีบริการน้ำมัน 60% และสาขานอกสถานีบริการน้ำมันอีก 40% ซึ่งภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ 800 สาขา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรวม 1,500 สาขาทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 2566 

 

“การขยายสาขาหลังจากนี้จะเน้นไปที่การขยายสาขานอกสถานีบริการน้ำมันโดยเน้นการขยายสาขาใจกลางเมืองในย่านธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมไปถึงหัวเมืองตามจังหวัดต่างๆ และจุดที่มีประชากรหนาแน่น และเพื่อขยายขยายให้ครอบคลุมทุกจังหวัดอย่างรวดเร็ว หลังจากนี้การขยายสาขาจะเน้นไปที่การขยายแฟรนไชส์ ใน 3 โมเดลคือ 1 single unit  คือ1  Franchise Owner ต่อ 1 สาขา , 2 multiple-unit  คือ 1 Franchise Owner  สามารถเปิดสาขาที่ไหนก็ได้และเปิดได้หลายสาขา ภายใต้commitment จำนวนสาขาและเป้าหมายในการขยายสาขา และโมเดลสุดท้ายที่วางไว้ก็คือ Sub Franchise Area หรือ  Franchise Owner มีสิทธิ์เปิดสาขาในจังหวัดนั้นแต่เพียงผู้เดียว ภายใต้commitment เป้าในการเปิดสาขากับเราด้วย ซึ่งได้รับความสนใจจากคนที่ต้องการมาเป็นFranchise 3-4 พันรายแล้ว 

 

เพื่อรองรับการขยาย Franchise ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เราได้วางงบการลงทุนไว้ที่ 1.25 ล้านบาทเพื่อเตรียมทีมดูแลFranchise และทีมอบรม รวมทั้งร่วมมือกับธนาคารพันธมิตรเพื่อสนับสนุนทางด้านเงินทุนให้กับผู้ซื้อ Franchise ด้วย" 

โพดจุกใจ ไร่สุวรรณ

2 การนำเสนอสินค้าใหม่จากวัตถุดิบท้องถิ่น  หนึ่งในจุดเด่นของ “กาแฟพันธุ์ไทย”คือการนำวัตถุดิบหายากและมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เกษตรกรมาดีเวลลอปเป็นเมนูเครื่องดื่มราวๆ 4-5 ชนิดในแต่ละปี แต่ละวัตถุดิบจะวางจำหน่าย 2-3 เดือน หากได้รับการตอบรับที่ดีจะเพิ่มเป็นเมนูประจำของร้าน ซึ่งโมเดลนี้ถูกใช้มาตลอด 3 ปีและได้รับการตอบรับที่ดีมาก ล่าสุด บริษัทได้จับมือกับ “มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์” ในการนำผลผลิตข้าวโพดจากไร่สุวรรณ มาดีเวลลอป 3 เมนูจากน้ำนมและเมล็ดข้าวโพด ได้แก่ โพดลาเต้ , โพดชาเขียว และ โพดโกโก้ ภายใต้แคมเปญ แคมเปญ “โพดจุกใจ ไร่สุวรรณ”  นอกจากเป็นการสนับสนุนผลผลิตทางการเกษตรของ “ไร่สุวรรณ” แล้วยังเป็นการขยายฐานแฟนคลับของทั้ง 2 แบรนด์ด้วย

 

3 การขยายและรักษาฐานลูกค้าสมาชิก Max Card ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 19 ล้านสมาชิก และคาดว่าภายในปีนี้จะสามารถเพิ่มจำนวนสมาชิกในระบบได้มากกว่า 21 ล้านรายทั่วประเทศ รวมทั้งการขยายฐานสมาชิก Max Card Plus หรือบัตรแดง ให้เพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าประจำที่มี Brand Royalty และมีกำลังซื้อสูงกว่ากลุ่มทั่วไปมากกว่า 2 เท่า

 

“ทั้ง Max Cardและ  Max Card Plus จะเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันของการแฟพันธุ์ไทยที่ทำให้แบรนด์ของเราเติบโตขึ้น และใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลเพื่อทำความรู้จัก  ถูกใจและใกล้ชิดลูกค้าให้ได้มากที่สุด”

 

และกลยุทธิ์สุดท้าย การเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่ม Non-Beverage  นอกจากเครื่องดื่มแล้ว กาแฟพันธุ์ไทยยังมีสินค้าในกลุ่ม Non-Beverage  ทั้งขนมอบ สินค้าชุมชน ของที่ระลึก ของพรีเมี่ยมและเมล็ดกาแฟ ออกมาจำหน่าย ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับกาแฟพันธุ์ไทยมีตัวเลขที่โตวันโตคืน 

เทศกาล “Cornnival - คอร์นนี้ว้าว โพดจุกใจ ไร่สุวรรณ

“ปัจจุบันสัดส่วนของ Beverage อยู่ที่ประมาณ 70% แบ่งเป็นกาแฟ 67% และ Non-Beverage ประมาณ 33 % และมีการเติบโตต่อเนื่องขึ้นทุกปี ในปีนี้เราพยายามที่จะเร่งการเติบโตในส่วนของNon-Beverageขึ้นมา คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้ Non-Beverage จะมีสัดส่วนเพิ่มแตะ 35% จากการเพิ่มเมนูใหม่ๆ รวมทั้งเครื่อง Non-coffee เช่น ชา ต่างๆมากขึ้น”