ดัชนีเชื่อมั่น SME เดือน ธ.ค. พุ่งสูงสุดรอบ 21 เดือนรับท่องเที่ยวฟื้น

20 ม.ค. 2566 | 15:17 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ม.ค. 2566 | 15:17 น.

ดัชนีเชื่อมั่น SME เดือน ธ.ค. พุ่งสูงสุดรอบ 21 เดือนรับท่องเที่ยวฟื้น รวมถึงกำลังซื้อจากแรงงานที่การจ้างงานปรับตัวดีขึ้นและการจ่ายเงินโบนัสประจำปี

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SME Sentiment Index: SMESI) เดือนธันวาคม 2565 พบว่า ค่าดัชนี SMESI อยู่ที่ระดับ 55.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 53.8 ของเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 21 เดือน 

ทั้งนี้ มีปัจจัยบวกมาจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ภาคการผลิตและภาคการค้า ผลจากการเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่และมีการจัดเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่ขยายตัวชัดเจนจนเกือบเป็นปกติ ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญทุกภูมิภาค เช่น ภาคใต้และภาคเหนือ และการจับจ่ายใช้สอยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงสถานการณ์ทางด้านต้นทุนธุรกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากราคาพลังงานกลุ่มเชื้อเพลิงที่ลดลง

สำหรับองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลให้ค่าดัชนี SMESI เดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น ได้แก่ คำสั่งซื้อโดยรวม กำไร การจ้างงาน ปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ และต้นทุน ซึ่งมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 67.3, 63.3, 51.3, 57.6 และ 41.5 จากระดับ 63.4, 57.5, 50.5, 57.1 และ 41.2 

ขณะที่องค์ประกอบด้านการลงทุน แม้ค่าดัชนีฯ จะชะลอตัวลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 53.4 จากระดับ 53.8 แต่ยังคงอยู่สูงกว่าระดับค่าฐานที่ 50 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณารายภาคธุรกิจ พบว่า ภาคการบริการ มีค่าดัชนี SMESI เพิ่มขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 57.5 จากระดับ 55.3 โดยเป็นผลจากกำลังที่ซื้อเพิ่มขึ้นในภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะร้านอาหารและธุรกิจโรงแรมที่พักที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน 

รองลงมาคือ ภาคการผลิตอยู่ที่ระดับ 54.3 จากระดับ 52.3 เป็    เป็นผลมาจากต้นทุนการผลิตหลายรายการที่ปรับดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อเพลิง ซึ่งส่งผลดีกับกลุ่มผลิตสินค้าจากพลาสติกที่ต้นทุนวัตถุดิบหลักลดลงชัดเจน และกลุ่มธุรกิจผลิตอื่นที่มีการพึ่งพาการขนส่งสูง เช่น การผลิตอาหารและการผลิตเครื่องประดับอัญมณี 

ภาคการค้า ค่าดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 55.0 จาก 53.3 ขยายตัวทั้งธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในทุกพื้นที่ จากการเดินทางและผู้คนที่สัญจรมากขึ้นช่วงวันหยุดในเทศกาลปีใหม่ โดยเฉพาะภาคใต้และภาคเหนือ ที่ได้กำลังซื้อจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว 

ดัชนีเชื่อมั่น SME เดือน ธ.ค. พุ่งสูงสุดรอบ 21 เดือน ส่วนภาคการเกษตร ค่าดัชนีฯ ปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 53.0 จากระดับ 53.4 ผลจากธุรกิจชะลอตัวลง ถึงแม้สินค้าเกษตรเมืองหนาวจะได้อานิสงส์จากปัจจัยสภาพที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก แต่ผู้ประกอบการยังกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะปุ๋ยที่ถึงแม้ว่าราคาจะเริ่มปรับลง แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าสถานการณ์ปกติ 

นายวีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ดัชนี SMESI รายภูมิภาค เดือนธันวาคม 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกภูมิภาคและอยู่ในระดับเกินค่าฐานที่ 50 โดยภูมิภาคที่ค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ ภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 60.7 จากระดับ 56.7 ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่เพิ่มสูงขึ้นเทียบเท่ากับสถานการณ์ปกติในช่วงก่อนการระบาดของ Covid-19 ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวชาวไทย 

"สิ่งที่เป็นข้อจำกัดของผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวในขณะนี้คือ ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ เพื่อรองรับกับการท่องเที่ยวที่ขยายตัว รองลงมาคือภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 52.2 จากระดับ 49.1 เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นตามการจัดเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากแรงงานในพื้นที่ได้รับเงินโบนัสประจำปี ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจในพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และการก่อสร้าง"

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 54.5 จากระดับ 52.7 โดยเป็นผลมาจากกำลังซื้อในพื้นที่ขยายตัวจากแรงงานที่กลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยเฉพาะกับภาคการค้าสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนั้น กลุ่มธุรกิจเสื้อผ้าและสิ่งทอขยายตัวเช่นกัน โดยได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวและสภาพภูมิอากาศ กระตุ้นการผลิตและการขายสินค้ากลุ่มเสื้อกันหนาว 

ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 54.2 จากระดับ 52.4 เป็นผลจากการขยายตัวของการค้าปลีกและการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ โดยภาคการค้าผู้ประกอบการมีการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลสิ้นปีผู้บริโภคเริ่มปรับตัวกับราคาขายสินค้าที่สูงขึ้น 

เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 54.9 จากระดับ 53.7 จากการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจที่ได้อานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นทั้งแบบ Walk-in และจองล่วงหน้า ส่งผลดีกับกลุ่มขนส่งส่วนบุคคล รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับของฝากของที่ระลึก เช่น อัญมณี และผลิตภัณฑ์สินค้าแฮนด์เมด (Handmade) 

ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 58.0 จากระดับ 57.1 ผลจากกำลังซื้อในพื้นที่ขยายตัวจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ เป็นผลดีกับภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และภาคการค้า โดยเฉพาะค้าปลีก รวมถึงธุรกิจผลิตอาหารและเครื่องดื่มในกลุ่มผลิตอาหารที่เป็นของฝาก

นายวีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 55.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 54.6 จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกลับสู่ระดับปกติ ซึ่งจะส่งผลดีกับภาคเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคการค้า การจับจ่ายใช้สอยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และภาคบริการ

จากการสอบถามธุรกิจ SME กับสถานการณ์ด้านหนี้สินกิจการของ SME ไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ซึ่งสำรวจผู้ประกอบการ SME จำนวน 2,888 ราย จาก 25 สาขาธุรกิจทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 17-31 ธันวาคม 2565 พบว่า ผู้ประกอบการ SME ประมาณ 60.5% มีภาระหนี้สินในกิจการ และ 39.5% ไม่มีภาระหนี้สินในกิจการ 

โดยผู้ประกอบการที่มีภาระหนี้สิน 83.2% กู้ยืมเงินเพื่อใช้หมุนเวียนในกิจการเป็นสำคัญ และ 7.9% ใช้เพื่อการลงทุน และ 7.4% เพื่อชำระหนี้สินเดิม

ผู้ประกอบการมีภาระหนี้สินส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 50,001-100,000 บาท โดยภาระหนี้สินจะเพิ่มขึ้นตามขนาดของธุรกิจ และสัญญาเงินกู้ส่วนใหญ่อยู่ที่ไม่เกิน 3 ปี และไม่เกิน 7 ปี ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในช่วง 6-12% ซึ่งธุรกิจขนาดกลางได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าขนาดอื่น ๆ ในขณะที่มีธุรกิจรายย่อยบางส่วนต้องรับอัตราดอกเบี้ยที่คอนข้างสูงมาก

ขณะที่ผู้ประกอบการ 56.5% สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดสัญญา แต่มี 43.5% ที่กำลังมีปัญหาการชำระหนี้ ทั้งการชำระผิดเงื่อนไขหรือจะไม่สามารถชำระได้ตามสัญญา 

ปัญหาสำคัญมากที่สุดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME คือ ขั้นตอนการยื่นกู้ยุ่งยาก อัตราดอกเบี้ยสูง และคุณสมบัติ/เงื่อนไขที่ไม่เอื้อต่อธุรกิจรายเล็ก 

สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดในด้านการเงินและภาระหนี้สิน คือ การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมสิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ยังคงต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุด คือ ด้านกำลังซื้อและรายได้ของผู้บริโภค โดยเฉพาะการขยายผลมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายรูปแบบต่าง ๆ นอกจากนี้ ในด้านต้นทุนและค่าใช้จ่าย ยังต้องการให้ภาครัฐควบคุมราคาสินค้าบางประเภทที่ยังอยู่ในระดับที่สูงต่อไป