เศรษฐกิจไทย ปีเถาะ 2566 กับ 3 ประเด็นท้าทายในมุมมอง รมว.คลัง

01 ม.ค. 2566 | 12:59 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ม.ค. 2566 | 23:17 น.
538

เศรษฐกิจไทย ปีเถาะ 2566 ในมุมมองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังขยายตัว แม้เศรษฐกิจโลกถดถอย แต่ยังมีความท้าทายในอนาคตที่จะเผชิญ 3 เรื่องใหญ่

ทิศทางเศรษฐกิจไทย 2566 ปีเถาะ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกถดถอย จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลต่อราคาน้ำมันและต้นทุนอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อเรื่องเงินเฟ้อ โดยเฉพาะประเทศทางฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ

 

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า เรื่องที่จะเข้ามากระทบเศรษฐกิจไทยปี 2566 คือเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะกระทบภาคการส่งออก แต่คงไม่มาก เพราะสินค้าอื่นยังมีโอกาส โดยเฉพาะหมวดอาหาร เห็นได้จากช่วงไตรมาส 3 เข้าสู่ไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ราคาพืชผลเกษตรดีขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อมาจากภาคการเกษตรส่วนหนึ่ง

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

 

เศรษฐกิจไทย 2566 โต 3.8%

 

ดังนั้นจึงคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะยังรักษาการเติบโตไว้ได้ที่ 3.8% ในปี 2566 จากที่คาดว่า จะขยายตัว 3.2% ในปี 2565  ที่ได้รับอานิสงส์มาจากจำนวนนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน แม้รายได้ไม่ถึงเป้า แต่ถือว่าปริมาณดีขึ้น ขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่า จะทำได้ 8% และการใช้จ่ายภายในประเทศ

 

 

“ผมเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 ยังมีโมเมนตันเรื่องการเจริญเติบโต เพราะเศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นไป ซึ่งนอกจากการบริโภคแล้ว ยังมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งจะเป็นแรงส่งที่สำคัญ โดยรัฐบาลมีโครงการธงนำอยู่ คือ EEC ขณะนี้ขับเคลื่อนไปได้ แต่จะต้องมีการเร่งมากขึ้น เพื่อความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐาน”นายอาคมกล่าว

3 ประเด็นท้าทายเศรษฐกิจไทย ปีเถาะ 2566

 

นายอาคมมองว่า การที่จะเข้ามาขับเคลื่อนการลงทุน ก็ต้องมองความท้าทายในอนาคตที่จะเผชิญกับ คือ

 

  1. เรื่องดิจิทัล ซึ่งไทยพัฒนามาในระดับที่ก้าวหน้ากว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 แต่สิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจต่อไปจะต้องใช้ดิจิทัลเข้ามามากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะธุรกิจ รวมถึงภาครัฐด้วย
  2. โครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โครงการที่สำคัญเป็นเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า จะสนับสนุนสิ่งที่จะมาเติมเต็มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาการสนับสนุนไบโอพลาสติก ซึ่งสอดคล้องกับ BCG การใช้ชีวภาพ ซึ่งจะเป็นโอกาสของไทยในการลงทุน
  3. สังคมผู้สูงอายุ จะเป็นอีกหนึ่งด้าน เพราะผู้สูงอายุเป็นกำลังซื้อส่วนหนึ่ง โดยด้านการส่งเสริม จะต้องมองว่า จะทำอย่างไรให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของผู้สูงอายุในอนาคตดีขึ้น เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่มีการดีไซน์สำหรับรองรับผู้สูงอายุในอนาคต ขณะที่รัฐนึ่งด้าน เป็นการจัดงบประมาณ ว่าจะต้องดูผู้สูงอายุให้มากขึ้น โดยเฉพาะสวัสดิการผู้สูงอายุ

 

 

เศรษฐกิจไทย ปีเถาะ 2566 กับ 3 ประเด็นท้าทายในมุมมอง รมว.คลัง

นโยบายการคลังปี 2566

 

นายอาคมกล่าวถึงนโยบายการคลังว่า กระทรวงการคลังได้มีการส่งสัญญาณการขาดดุลลดลง เพื่อความยั่งยืนทางการคลังในอนาคตด้วย ส่งผลให้ปีงบประมาณ 2566 ได้มีการตั้งงบประมาณขาดดุลลดลง 5,000 ล้านบาทเหลือขาดดุล 6.95 แสนล้านบาท จากปีงบประมาณ 2565 ที่ขาดดุลเต็มเพดาน 7 แสนล้านบาท

 

ดังนั้นในปีงบประมาณต่อไป จะตั้งงบขาดดุลลดลงไปอีก ส่วนจะมีโอกาสเห็นการตั้งงบประมาณที่สมดุลหรือไม่นั้นมองว่า จะต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งหากต้องการให้สมดุลเร็ว จะต้องพิจารณาในเรื่องการจัดเก็บรายได้ด้วย เพราะหากเก็บรายได้ได้มากก็จะขาดดุลได้น้อยลง

 

อย่างไรก็ตามประเด็นที่สำคัญคือ การจัดเก็บรายได้รัฐต้องเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่สัดส่วนการจัดเก็บรายได้อยู่ที่ประมาณ 14%ต่อจีดีพี ซึ่งลดลงจากปี 2539 ที่เคยอยู่ที่ 18%ต่อจีดีพี เพราะที่ผ่านมา มีเฉพาะปรับลดอัตราภาษี แต่ไม่ได้เพิ่มเลย

 

"หากจะดูศักยภาพการจัดเก็บรายได้นั้น ต้องดูว่า สัดส่วนการจัดเก็บของทั่วโลกอยู่ที่เท่าใด โดย 20%ต่อจีดีพี ถือว่าตามมาตรฐาน แต่เราต่ำกว่ามาตรฐาน ฉะนั้นต้องขยับรายได้ขึ้น จึงจะสามารถปิดช่องว่างการขาดดุลงบประมาณได้ และต้องมีการหารือกับสำนักงบประมาณ ด้วยว่า รายจ่ายที่ไม่จำเป็นต้องลดน้อยถอยลงไป”นายอาคมกล่าวทิ้งท้าย