“พาณิชย์” ดันอาหารไทยขึ้นแท่น “มหาอำนาจอาหารโลก” เร่งเจาะตลาดอาหารสหรัฐฯ

04 พ.ย. 2565 | 09:56 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ย. 2565 | 17:08 น.

“พาณิชย์” ดันอาหารไทยขึ้นแท่น “มหาอำนาจอาหารโลก” เร่งทลายกำแพงส่งออกเจาะตลาดอาหารสหรัฐฯ โอกาสที่จะได้ลูกค้าเพิ่มก็มีความเป็นไปได้สูง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยอาหารไทยเป็นที่รู้จักของหลายประเทศในโลกอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ต้องทำต่อคือการส่งเสริมให้คนรู้จักเข้าถึงอาหารไทยให้มากขึ้น เราต้องทำต่อไป ยิ่งอาหารไทยเป็นที่รู้จักและเข้าถึงของคนในโลกมากขึ้น โอกาสที่จะได้ลูกค้าเพิ่มก็มีความเป็นไปได้สูง มีหลายเมนูเป็นที่รู้จักทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น ต้มยำกุ้ง ต้มข่าไก่ ผัดไทย แกงเขียวหวานมัสมั่น ข้าวซอย มีความหลากหลายและเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอยู่แล้ว มีส่วนผสมของสมุนไพรซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ของโลกที่ต้องการอาหารลักษณะนี้เพิ่มขึ้น

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับโรงงาน Overhill Farms, Inc.ซึ่งเป็นโรงงานของบริษัท CP ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริก  ที่มีโรงงานถึง 4 โรง ดังนั้นไทยต้องสนับสนุนให้มีบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกไปแข่งขันในโลกได้หลายบริษัทมากขึ้นต่อไปเช่นที่หลายประเทศในโลกทำ

โดยการเข้าไปช่วยผู้ส่งออกและผู้ต้องการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศไทยในการทลายกำแพงการกีดกันทางการค้า และจะกลายเป็นอุปสรรคต่อประเทศไทย สำหรับสหรัฐฯยังมีปัญหาเรื่องการทลาย

“พาณิชย์” ดันอาหารไทยขึ้นแท่น “มหาอำนาจอาหารโลก” เร่งเจาะตลาดอาหารสหรัฐฯ

กำแพงส่งออกสินค้าเกษตรบางตัว เช่น ไก่ ไข่ หมู สำหรับสหภาพยุโรป อาจมีเงื่อนไขผ่อนปรนกว่าแต่การทลายกำแพงทางการค้าในรูปแบบที่ไม่ใช่ภาษีที่มีมาตลอด เราพยายามทำกติกาใหม่เพิ่มเติมขึ้น เพื่อลดการตั้งกำแพงไม่ว่ารูปแบบไหนก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ต้องเจรจาต่อไปว่าอะไรที่เป็นกำแพงกั้นการส่งออกของเราในทุกรูปแบบ

 

“พาณิชย์” ดันอาหารไทยขึ้นแท่น “มหาอำนาจอาหารโลก” เร่งเจาะตลาดอาหารสหรัฐฯ

“นโยบายที่เป็นครัวโลก ซีพีถือว่ามีศักยภาพ และนโยบายของรัฐบาลเราชัดเจนว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นครัวโลก ที่สำคัญอยากเห็นอาหารไทยเป็นอาหารโลกและตนพยายามผลักดันนโยบายนี้ ตลอดระยะเวลา 3-4 ปี ที่มาอยู่กระทรวงพาณิชย์หลายอย่างมีความคืบหน้า ซีพีจะเป็นธุรกิจเอกชนบริษัทหนึ่งที่จะมีส่วนช่วยเสริม แต่การบริการของประเทศต้องใช้ระยะเวลาและได้รับความร่วมมือจากเอกชนและภาครัฐจับมือกันอย่างเข้มแข็งเดินหน้านโยบาย”