ต้นทุนพุ่งไม่หยุด “สหพัฒน์” เจรจา กระทรวงพาณิชย์ขอขึ้นราคามาม่า

10 มิ.ย. 2565 | 06:15 น.
1.7 k

สงครามรัสเซีย- ยูเครนดันต้นทุนวัตถุดิบพุ่งไม่หยุด บิ๊กบอส สหพัฒน์ รับแบกต้นทุนหลังอาน เจรจากระทรวงพาณิชย์ขอขึ้นราคา บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป -ผงซักฟอก ครึ่งปีหลังหักหัวเรือจับตลาด Healthcare and Wellness

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธาน เครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า  สถานการณ์เศรษฐกิจ-ค่าครองชีพปัจุบันนับว่าหนักกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อ26 ปีที่แล้วที่กระทบเศรษฐกิจอย่างหนักทำให้สินค้าขึ้นราคาจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว  ซึ่งตอนนั้นเครือสหพัฒน์เองก็ได้ปรับราคาสินค้าขึ้นกัน แต่เป็นการปรับราคาอย่างไม่เอาเปรียบผู้บริโภค โดยใช้วิธีขึ้นราคาแบบค่อยๆทยอยปรับทีละขั้น 

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธาน เครือสหพัฒน์

ซึ่งปัจุบันนี้ก็ไม่ต่างกัน เครือสหพัฒน์ จำเป็นต้องปรับราคาขึ้นเพราะต้นทุนทางวัตถุดิบยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ในการปรับขึ้นราคาสินค้าจะพิจราณาจากต้นทุนวัตถุดิบ หากย้อนไปการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ทำให้ราคาวัตถุดิบปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง แต่สถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนเป็นปัจจัยหลักทำให้ราคาวัตถุดิบขึ้นราคาเยอะและตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง

 

ดังนั้นเอฟเฟคที่มากที่สุดคือ บะหมี่สำเร็จรูป เพราะข้าวสาลี น้ำมันปาล์ม น้ำมันทุกอย่างขึ้นราคาหมด เพราะฉะนั้นเครือสหพัฒน์ไม่ขึ้นราคาไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเดือดร้อนน้อยที่สุดและมีระยะเวลาให้ผู้บริโภคได้เตรียมตัวเตรียมใจ

 

ส่วนจะปรับราคาขึ้นเท่าไหร่และเมื่อไหร่นั้นเนื่องจากสินค้าของเครือสหพัฒน์โดยเฉพาะบะหมี่สำเร็จรูป เป็นสินค้าควบคุมราคาของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งตอนนี้บริษัทกำลังเจรจากับกระทรวงพาณิชย์ นอกจากบะหมี่สำเร็จรูปแล้วกลุ่มผงซักฟอกเองวัตถุดิบก็ปรับขึ้นราคาอย่างมาก

 

“ตอนนี้ทุกประเทศ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นราคาทั้งหมดไม่ใช่เฉพาะแค่ในประเทศไทย ส่วนของเรานั้นจะขึ้นราคาเท่าไหร่และขึ้นเมื่อไหร่เราก็ยังจะต้องเจรจากับกระทรวงพาณิชย์เพราะเป็นสินค้าควบคุม และสินค้าที่เราผลิตอยู่กระเทือนหลายตัว ถ้าเราไม่ขึ้นราคาเราไม่สามารถที่จะอยู่ได้ 

 

ในการปรับราคาแต่ละครั้งเราจะมีการปรับราคาส่วนหนึ่งและคงราคาอีกส่วนหนึ่งและค่อยๆปรับราคาขึ้น  ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันเราต้องขึ้นราคาไม่ขึ้นราคาเป็นไปไม่ได้เพราะเหตุการณ์เปลี่ยนไปเยอะ ครั้งนี้สถานการณ์รุนแรงกว่าครั้งแรกเมื่อ 26 ปีก่อน”

 

อย่างไรก็ตาม บิ๊กบอสเครือสหพัฒน์ยังคงเชื่อว่า  เศรษฐกิจของเมืองไทยยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าประเทศอื่น เพราะเป็นประเทศส่งออกอาหารและอยู่ในแถบโซนร้อนซึ่งค่าใช้จ่ายน้อยกว่าประเทศโซนหนาว

 

ดังนั้นเราเชื่อว่าประเทศไทยจะฟื้นเร็วกว่าคนอื่นถ้าเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัน และแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้แต่เชื่อว่าการส่งออกยังคงมีโอกาส

 

“ส่วนแผนการลงทุนเชื่อว่าเมืองไทยตอนนี้ไม่ได้ขาดเงินลงทุน แต่เป็นจังหวะที่ต้องเลือกลงทุน สำหรับเครือสหพัฒน์ในครึ่งปีหลังไม่ได้ตั้งงบลงทุนตายตัว เพราะสงครามยังไม่จบและราคาวัตถุดิบที่ขึ้นไก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ตอนนี้คือดูสถานการณ์แล้วค่อยตัดสินใจ

 

แต่ทิศทางที่ชัดเจนคือ เราจะเน้นลงทุนใน healthcare and wellness เพราะหลังจากการแพร่ระบาดโควิด ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพ ตอนนี้ในเครือสหพัฒน์เราก็ออกสินค้าเพื่อสุขภาพหลายตัวออกสู่ตลาด คาดว่าต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 1-2 ปีกว่าจะสามารถทำรายได้เท่ากับช่วงก่อนโควิดได้ ส่วนปี 2565 นี้รายได้จะยังไม่กลับมาเท่าปีก่อนเกิดโควิดแพร่ระบาดแน่นอน”