ชี้ทางรอด กู้ “กรุงเทพฯ” จมน้ำ ไม่เริ่ม ไม่ทำ จม เจ๊ง

15 ต.ค. 2564 | 01:00 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ต.ค. 2564 | 17:35 น.
1.1 k

“สุชัชวีร์” ชี้ทางรอด วิกฤติ “กรุงเทพฯ” ก่อนจะจมน้ำ ในอีกกว่า 10 ปีข้างหน้า คาดสูญเสียมหาศาล 17.4 ล้านล้านบาท ในปี 2030 หากไม่คิด ไม่เริ่ม ไม่ทำ จม เจ๊ง จบข่าว!!

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยี​พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และนายกสภาวิศวกร โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก  สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ Suchatvee Suwansawat จากข้อมูลทุกสำนักวิจัย สำนักข้อมูลข่าว บอกตรงกันว่า กรุงเทพฯจมน้ำแน่ในอีกสิบกว่าปี และจะจมมิดไปเรื่อยๆ

 

หากเรายังไม่คิด ยังไม่เข้าใจปัญหา (อย่างลึกซี้ง) และยังไม่เริ่มที่จะทำอะไรจริงจัง เพราะการอยู่เฉย หรือการแก้ปัญหาแบบเก่า เราคงไม่รอด! และยังมีหลายสำนักวิจัย ประมาณว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจ รุนแรงมหาศาล ถึง 17.4 ล้านล้านบาท ในปี 2030 ซึ่งไม่ถึงสิบปีจากวันนี้

 

เมื่อเปรียบเทียบกับ มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 เพียงปีเดียว ก็เกิน 1.4 ล้านล้านบาทแล้ว แสดงว่าการประมาณการที่ว่า อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ!!! หากเราปล่อยให้ถึงวันนั้น?

 

และเปรียบเทียบมูลค่าความสูญเสีย กับงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2565 มูลค่า 3.1 ล้านล้านบาท พบว่ามากกว่า งบประมาณแผ่นดินปีนี้ถึงเกือบ 6 เท่า!!! มากกว่า งบการ (กระทรวง) ศึกษาประจำปี ถึง 52 เท่า!!!มากกว่า งบสาธารณสุขประจำปี ถึง 116 เท่า!!!

 

โอ้โห.. ภาพชัด เปรียบเทียบกับมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ ว่ามันมากมาย อภิมหาศาลขนาดไหน แล้วเราจะเอายังไงกันดี? เมื่อรู้ว่า ภัยน้ำท่วมกทม. คือ วิกฤติเศรษฐกิจที่สุดของที่สุดของชาติ!

 

คืนนี้ฝนตกหนักทุกพื้นที่ พี่เอ้ในฐานะนายกสภาวิศวกร ขอเวทีนี้ แนะนำ การต่อสู้กับน้ำท่วมซ้ำซากของกทม.

 

1. การต่อสู้ระยะสั้น

ทำได้ทันที! คือการปรับระบบการสูบน้ำจากเครื่องดีเซล มาเป็นใช้ปั๊มสูบน้ำไฟฟ้าอัตโนมัติ เพราะไม่ต้องให้คนมารอเปิดปิด (คืนนี้น้ำท่วมบ้านทุกคน เพราะไม่มีใครมาสตาร์ทเครื่องปั๊มน้ำดีเซล!!!) ทั้งเสี่ยงต่อการผิดพลาด เพราะเทคโนโลยีปัจจุบัน เอี้อให้ทุกเมืองใช้ปั๊มไฟฟ้าที่มีตัวเซนเซอร์ทำงานอัตโนมัติ ทำงานทันที

 

เมื่อน้ำท่วม และหยุดทำงานเมื่อน้ำลด ทั้งในกทม. ก็มีเสาไฟฟ้าต่อไฟได้ทุกจุด ยิ่งไปกว่านั้น แบตเตอรี่ยังเก็บพลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้นทุกวัน (รถบรรทุกไฟฟ้า ข้ามเมือง ยังทำได้ แค่ปั๊มสูบน้ำ มันง่ายกว่าเยอะครับ) ที่สำคัญไม่ต้องมีคนเวียนกันมาเติมน้ำมัน ขาดประสิทธิภาพ เก็บแรงงานคนไว้ทำงานอื่นดีกว่า จริงไหมครับ?

 

ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เครื่องสูบน้ำทุกเครื่องในกทม. นับพันๆเครื่อง สามารถทำงานสอดประสาน ช่วยงานกันได้เต็มที่ ด้วยระบบไฟฟ้าอัตโนมัติ ไม่สูบน้ำใส่กัน ย้อนไปย้อนมา แทนที่แบบเครื่องดีเซลโบราณ ที่สูบแบบตัวใคร ตัวมัน! แบบนี้ก็บรรเทาน้ำท่วมได้ทันใจ คนเดือดร้อนน้อยลงทันที!

 

2. การต่อสู้ระยะกลาง

"แก้มลิงใต้ดิน" และบนดิน ต้องเริ่มออกแบบก่อสร้างแล้วในกรุงเทพชั้นใน เพราะความสูญเสียต่อปีมหาศาล และจะมากขี้นเรื่อยๆ ขณะที่ทุกเมืองที่เคยเจอวิกฤตน้ำท่วมหนักยิ่งกว่ากรุงเทพ หลักฐานชัด แก้ปัญหาได้ ทำสำเร็จด้วยวิธีนี้ ทั้งโตเกียว ฮ่องกง สิงค์โปร์ กัวลาลัมเปอร์ แล้วเรารออะไรอยู่?

ปัจจุบัน กรุงเทพฯคือ "กระทะคอนกรีตยักษ์" ก้นลึกขึ้นทุกวันๆ อยู่ต่ำกว่าคลอง ต่ำกว่าเจ้าพระยา กระทั่งต่ำกว่าทะเลในหลายพื้นที่ ที่พออยู่รอดไปวันๆ ประทังชีวิตได้ ด้วยการสูบน้ำจากล่างขึ้นบนไประบายสวนทางธรรมชาติ ไม่มีทางยั่งยืน แม้แก้ไขด้วยการเปลี่ยนมาใข้ปั๊มสูบน้ำไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ ตามพี่เอ้แนะนำในข้อ 1 ก็เป็นเพียงการแก้ไขระยะสั้น ประทังไปเท่านั้น

 

ดังนั้น "แก้มลิงใต้ดิน" เพื่อพักน้ำรอระบาย คือ ทางรอดของกรุงเทพชั้นใน ปัญหาน้ำท่วมจากน้ำฝนแก้ได้ทันที

 

วันนี้กำลังจะเกิดขึ้นแห่งแรก ที่วัดเล่งเน่ยยี่ ที่พี่เอ้เป็นที่ปรึกษา จะทำพื้นที่จอดรถใต้ดิน 3 ชั้น เป็นแก้มลิงใต้ดิน รับน้ำท่วมน่าน เจริญกรุง กทม.ชั้นใน

 

3. การต่อสู้ระยะยาว

ข้อ 1 และ ข้อ 2 เพื่อต่อสู้กับน้ำฝนเท่านั้น ซึ่งน้ำท่วมซ้ำซากของกทม. ไม่ใช่มีแค่น้ำฝน แต่จากนี้ไป กรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับอีก 2 น้ำ คือ น้ำเหนือไหลบ่า และน้ำทะเลหนุนสูง จุดตาย แท้จริง คือ 2 น้ำนี้!!!

 

ทำไม? เมื่อเกิด "น้ำเหนือ" บ่า และ "น้ำทะเลหนุน" กรุงเทพฯจะสิ้นสภาพทันที เหมือนกับปี 2554 เพราะเราจะไม่สามารถระบายน้ำออกจากเมืองได้ และยังถูกถาถมด้วยน้ำทะลักรอบทิศทาง จม จบ!!!

 

ทางรอด

1. ต้องเริ่มสร้างคันกั้นน้ำทะเลหนุน แนวชายทะเล

 

2. ขยายเส้นทางน้ำเหนือ สายหลัก ออกสู่ทะเล ทั้งไม่ให้มีถนนขวางกั้น ไม่สะดุด ไม่ชะลอ! 

 

โครงการแบบนี้ มีรายละเอียดเยอะมาก เล่ากันนานและใช้เวลายาวนานทั้งการออกแบบ ประชาพิจารณ์ ก่อสร้างก็ต้องต่อเนื่อง จึงต้องมุ่งมั่น ตั้งใจเริ่มทำจริง เพราะอาจมีผลกระทบต่อประชาชนไม่น้อย การแก้ไขด้วยทุกกระบวนการเยียวยา คงต้องนำมาใช้ ซึ่งท้าทายมาก ดังนั้นคิดวันนี้ กว่าจะสำเร็จ ใช้เวลาเป็นสิบปี หรือหลายสิบปี...

 

แต่ถ้าไม่คิด ไม่เริ่ม ไม่ทำ "จม เจ๊ง จบข่าว!!" ทุกข้อเสนอของพี่เอ้ ทำได้จริง ประเทศที่เคยเจอวิกฤตน้ำท่วมยิ่งกว่าเรา ก็ทำมาแล้ว อยู่ที่ว่า เราจะทำหรือไม่ทำ ก็เท่านั้นเอง จะทำก็ทำได้ ดูน้อยลง