อาลีบาบา ประสานความร่วมมือ ระหว่างแพลตฟอร์ม พุ่งเป้าสู่ธุรกิจ ESG

09 ก.ค. 2564 | 14:22 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ก.ค. 2564 | 21:45 น.

อาลีบาบา ประสานความร่วมมือระหว่างแพลตฟอร์ม คือกุญแจของความสำเร็จด้านความยั่งยืนขององค์กร เผยนำเทคโนโลยีชั้นสูง สร้างแพลตฟอร์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้มหกรรมช้องปิ้ง 6.18 สามารถลดได้ทั้งปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้น และรณรงค์การใช้กล่องบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล

นายแดเนียล จาง ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป เปิดเผยว่า ได้ทำการผสสานการทำงานอีโคซิสเท็มทั้งหมดของบริษัท สร้างความร่วมมือกับลูกค้าและผู้ขายมากขึ้น เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน หรือ ESG (Environmental, Social, Governance) ในอุตสาหกรรม ซึ่ง ESG เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบต่อสังคม โดยอาลีบาบากำลังหาแนวทางจูงใจให้ผู้ขายจากทุกแพลตฟอร์มของบริษัท รวมถึงผู้บริโภคที่ใช้งานแพลตฟอร์มเป็นประจำมากกว่า 1 พันล้านคน มาร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

อาลีบาบาได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้แพลตฟอร์มของบริษัทมีความเป็นมิตรกับต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้สามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ลงอย่างมากในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งกลางปีที่ผ่านมา โดยการสร้างคาร์บอนต่อ 1 คำสั่งซื้อในช่วงมหกรรมช้อปปิ้งกลางปี หรือที่ผู้บริโภครู้จักในชื่อ 6.18 มีอัตราลดลง 18% ต่อวัน เมื่อเทียบกับงานในปีก่อนหน้า 

การปรับตัวครั้งใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมของงาน 6.18 ยังเป็นผลมาจากการอัพเกรดหนึ่งในอัลกอริธึ่มของงาน เพื่อทำให้การช้อปปิ้งในอีโคซิสเท็มของอาลีบาบามีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างทีมอลล์และเถาเป่า

การลดคาร์บอนในงาน 6.18 ส่วนหนึ่งยังเกิดจากการปรับบรรจุภัณฑ์ในการขนส่ง ซึ่งในแต่ละวันมีปริมาณการใช้กล่องมากกว่า 100 ล้านใบ ดังนั้น บริษัทจึงรณรงค์ให้ผู้ขายเข้าร่วม ด้วยการใช้กล่องบรรจุภัณฑ์รีไซเคิลและเน้นหนักในช่วงมหกรรมช้อปปิ้ง ทำให้จากสถิติของเครือข่ายโลจิสติกส์และขนส่งของอาลีบาบาพบว่า บรรจุภัณฑ์ที่ส่งออกจากคลังของไช่เหนียวในปี 2564 เกือบ 100% เป็นบรรจุภัณฑ์แบบย่อยสลายได้ทางชีวภาพ 

นอกจากนี้ เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคในจีนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาลีบาบายังสร้างศูนย์รับพัสดุมากกว่า 100,000 แห่งทั่วประเทศในปีนี้ ซึ่งมีความพิเศษคือผู้ซื้อสามารถมารับสินค้าที่สั่งซื้อออนไลน์ได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถนำกล่องกระดาษมาทิ้งที่จุดรับรีไซเคิลได้ด้วย

อาลีบาบา ประสานความร่วมมือ ระหว่างแพลตฟอร์ม พุ่งเป้าสู่ธุรกิจ ESG

อาลีบาบายังมีแผนที่จะแบ่งปันเทคโนโลยีด้านประสิทธิภาพพลังงานให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน นายแดเนียล ย้ำว่า ปัจจัยต่างๆ เช่น การมีส่วนร่วมและการมีปฏิสัมพันธ์ เป็นสิ่งสำคัญที่จะปลดล็อคแนวทางใหม่ๆ ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท ในการเข้ามาทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม

 

นอกจากจะให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนแล้ว ส่วนของโรคระบาดที่เกิดขึ้น ยังเป็นตัวเร่งการพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ ในอนาคตจะมีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และมองว่าโมเดลธุรกิจแบบ Direct-to-consumer (D2C) จะได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรก เนื่องจากธุรกิจจะมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น

“ผมเชื่อว่าเทรนด์เหล่านี้จะเกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก แต่เห็นได้ชัดว่าตลาดจีนถือเป็นผู้นำเทรนด์และก้าวไปเร็วมาก โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ และโมเดลแบบ D2C” แดเนียล กล่าว

ล่าสุด Consumer Goods Forum (CGF) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่นำโดยซีอีโอจากบริษัทค้าปลีก ผู้ผลิต และผู้ให้บริการราว 400 บริษัททั่วโลก ได้ประกาศแต่งตั้ง นายแดเนียล จาง เป็น ประธานร่วมของคณะกรรมการอำนวยการ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารเชื้อสายจีนจากบริษัทระดับโลก ได้ขึ้นเป็นประธานของ CGF โดยมีวาระ 2 ปี ในการบริหารงานเพื่อแสดงให้ผู้บริโภค พนักงาน และนักลงทุน ได้เห็นว่าสมาชิกของ CGF เอาจริงเอาจังกับประเด็นเร่งด่วนต่างๆ เช่น เรื่องความยั่งยืน เป็นต้น