ALL งานนี้หนัก!

05 ก.ค. 2566 | 04:45 น.
632

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ ALL งานนี้หนัก! โดย...เจ๊เมาธ์

*** ทิศทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้นว่า พรรคใดจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่งผลให้หุ้นหลายตัวที่ก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้ โดยหนึ่งในนั้นมีชื่อของ GULF รวมเข้าไปอยู่ด้วย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแต่ละสายงานธุรกิจที่ GULF เข้าไปลงทุนมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่มาก จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกเพ่งเล็งว่า เข้าข่ายของทุนใหญ่ที่ครอบงำกิจการอื่น จากบางพรรคการเมือง ยกตัวอย่าง เช่น ธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่คาดว่า GULF จะขยับขึ้นไปถึง 12,000 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี
 
ขณะเดียวที่การเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH ถือว่าเป็นก้าวแรกของการทำธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานในด้านโทรคมนาคม เนื่องจากตัวของ INTUCH ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเจ้าใหญ่อย่าง ADVANC รวมไปถึงการซื้อหุ้นของ THCOM ทั้งหมดที่ INTUCH เคยมีอยู่เข้ามาจนทำให้ GULF กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ THCOM ตามไปด้วยอีกหนึ่งบริษัท 

นอกจากนี้ GULF ยังได้ลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอื่นอีกหลายอย่าง เช่น การร่วมมือกับกลุ่ม ปตท. ลงทุนทำท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 และท่าเรือแหลมฉบัง ลงทุนร่วมกับกลุ่ม BTS ในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) มอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน-นครราชสีมา และ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ตั้งบริษัทร่วมทุนกับ “สิงห์เทล” เพื่อทำธุรกิจด้านการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล และยังจับมือกับ Binance เพื่อจัดตั้งธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Crypto Exchange อีกด้วย 
 
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตราบนั้นก็ยังยืนยันไม่ได้ว่า แรงกดดันทางการเมืองที่กดทับราคาหุ้นของ GULF มาแล้วหลายเดือน ได้จางหายไปแล้ว ขณะเดียวกันกฎหมายที่อาจจะเกิดขึ้นใหม่ หรือ ได้รับการแก้ไขโดยรัฐบาลใหม่ ก็จะไม่มีผลย้อนหลัง ดังนั้น สิ่งที่ GULF ทำไปแล้วจึงจะยังคงดำเนินการต่อไปได้อย่างที่เคยเป็นมา ประมาณว่าโตแล้วก็ยังจะโตต่อไป...ไม่หดเล็กลงอย่างแน่นอน

*** ราคาหุ้นของ TLI ปรับลงมาอยู่ในจุดต่ำที่สุดตั้งแต่เข้าตลาด และยังเคลื่อนที่อยู่ในกรอบราคาเดิมๆ นับตั้งแต่การแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 เป็นต้นมา แต่หากจะมองราคาหุ้นของ TLI ผ่านมุมมองของนักวิเคราะห์ก็จะเห็นได้ว่า การที่ TLI ยังคงสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นลำดับ 2 ของอุตสาหกรรมประกันชีวิตในประเทศไทยได้ รวมไปถึงการที่มีจุดเด่นด้านเครือข่ายตัวแทนที่แข็งแกร่ง มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ก็มีโอกาสที่ TLI จะสามารถผลักดันผลการดำเนินงานในปี 66 ให้เติบโตขึ้นไปได้ถึง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
 
อย่างไรก็ตาม เจ๊เม้าธ์มองว่า ปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้ราคาหุ้นของ TLI ยังคงวนเวียนอยู่ในกรอบราคาเดิมๆ ก็คือ เรื่องของการเป็นบริษัทที่สามารถคาดเดาผลการดำเนินงานล่วงหน้าได้จนทำให้ TLI กลายเป็นหุ้นที่ไม่มีเสน่ห์เพราะเล่นแล้วไม่สนุก...ไม่มีลุ้น จะมีก็เพียงแค่กลุ่มนักลงทุนในระยะยาว ที่ยังถือหุ้นอยู่ซึ่งไม่นิยมการเล่นรอบจนเป็นเหตุให้ราคาหุ้นของ TLI จึงแทบจะไม่เคลื่อนที่ เรื่องมันก็มีเท่านี้เองค่ะ 
 
*** SABUY เป็นหุ้นอีกตัวที่ถูกข่าวลือในโลกออนไลน์ และห้องค้าต่างๆ ว่ากำลังถูกจับตา ข่าวที่ว่านี้เป็นข่าวลือเดียวกันที่เกิดขึ้น และสร้างความเสียหายให้กับราคาหุ้นกลุ่มตัวเจ ซึ่งมีทั้ง JMART JMT SINGER SGC และ J เพียงแต่ว่าในความเหมือนของปัญหา ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย โดยในเรื่องที่เหมือนกันนั่น ก็คือทั้ง SABUY และ หุ้นกลุ่มตัวเจ ต่างก็เป็นหุ้นที่ขยันสร้างข่าวการดีล และการควบรวมกิจการแบบรัวๆ จนไม่รู้ว่าได้ทำจริง หรือ เพื่อให้เกิดความเคลื่อนไหวเพียงเท่านั้น 

แต่หุ้นกลุ่มตัวเจจะมากันยกแผง ทำให้ถูกจับตามากกว่า เนื่องจากในเวลาที่ราคาขยับขึ้นก็จะขึ้นพร้อมกัน แต่ถ้าลงก็จะลงพร้อมกันทุกตัวด้วยเช่นกัน เพราะถ้าไม่มีเหตุ ก็คงจะไม่มีข่าว
 
อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทั้ง SABUY และหุ้นกลุ่มตัวเจ จะต้องทำเช่นกันก็คือ การทำให้นักลงทุนได้เห็นว่าสารพัดดีล ที่เคยประกาศล้วนเป็นเรื่องของการทำธุรกิจที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างข่าวเพื่อดันราคาหุ้นเท่านั้น ซึ่งถ้าทำได้ ก็อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ราคาหุ้นของทั้งคู่กลับขึ้นไปอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นก็ได้ 
 
*** ราคาหุ้นของ ALL หลุดลงไปอยู่ที่ 0.07 บาท ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาหุ้นต่ำที่สุดในรอบปี หลังจากที่ล่าสุดบริษัทได้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ 4 ชุด ที่มีมูลค่ารวม 1.4 พันล้านบาทอีกครั้ง เนื่องจากขาดสภาพคล่อง ซึ่งกรณีนี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุนกว่า 1,000 ราย ที่ยังคงติดดอยหุ้นตัวนี้อยู่ ซึ่งเรื่องนี้เจ๊เมาธ์เคยเตือนเอาไว้แล้วว่า หุ้นอย่าง ALL เป็นหุ้นที่ควรจะดูอยู่ให้ห่าง เพราะการแก้เกมเฉพาะหน้า ด้วยการตัดขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาใช้หนี้นั้น เป็นการทำลายแหล่งรายได้ที่มีอยู่แค่ไม่กี่อย่างของบริษัท ซึ่งเมื่อไม่มีรายได้ หรือ รายได้หายไปมากจนเกินไป ก็ไม่ต่างจากคนไม่มีแขนที่จะทำมาหากิน เจ๊ขอย้ำเลยว่า งานนี้บอกเลยว่าหนัก เอาเป็นเจ๊เมาธ์ยังคงย้ำว่า หนังชีวิตเรื่องนี้น่าจะใกล้จบ และอาจจบไม่สวยแบบที่เกิดขึ้นกับ STARK ก็เป็นได้
 
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,902 วันที่ 6 - 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2566