โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง...เลือกหุ้นตัวไหน

09 พ.ค. 2566 | 07:20 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ค. 2566 | 18:37 น.

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง...เลือกหุ้นตัวไหน คอลัมน์เทคนิคพิชิดหุ้น ศุภพงศ์ เอี่ยมคงเอก

หากดูสถานการณ์ตอนนี้ต้องเรียกว่ายิ่งใกล้มากเท่าไหร่ การเลือกตั้งยิ่งเดือดมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นไทยที่ก่อนหน้านี้ร่วงลงมาจาก 1620 มาที่ 1500 ต้นๆ ก่อนที่จะลุ้นเด้งในอาทิตย์สุดท้ายก่อนเลือกตั้งแต่อย่าพึ่งนิ่งนอนใจไปครับเพราะในระยะกลางถึงยาวหลังเลือกตั้งโอกาสที่ Set index จะขึ้นแรงๆ จนเปลี่ยนเป็นขาขึ้นนั้นไม่ง่าย

อย่างที่ทราบดีว่าตอนนี้การเลือกตั้งแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลักๆ คือฝ่ายที่เป็นรัฐบาลปัจจุบันกับฝ่ายใหม่ที่มีกระแสมาแรงแซงทางโค้งเข้าทุก poll

พอมองดูนโยบายของทั้ง 2 ฝ่ายจะเห็นว่าต่างกันพอสมควร หากฝ่ายเก่าได้นโยบายก็จะค่อนข้างคล้ายเดิม กล่าวคือ ประชานิยม สนับสนุนการที่รัฐบาลเข้ามาช่วย แต่หากฝ่ายใหม่ได้นโยบายในระยะยาวจะเปลี่ยนไหมยังตอบไม่ได้ด้วยความเป็นคนกลุ่มใหม่ (ต่อให้จะมีโอกาสจับมือกับกลุ่มไหนก็ตาม แต่ถือว่าเป็นกลุ่มใหม่) แต่ที่ทราบแน่ๆ คือช่วงแรกๆ เปลี่ยนแน่ ด้วยความที่นโยบายต่างๆ ไม่ใช่แค่เพียงต่างจากกลุ่มเก่า แต่ต้องใช้คำว่าตรงกันข้าม

อย่างไรก็แล้วแต่หากตัดเข้ามาดูในมุมมองของตลาดหุ้นไทย ผมกำลังจะเรียนว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้หุ้นก็ไม่น่าจะดีอยู่ดี ถามว่าทำไม ขอแบ่งออกเป็นสองกรณี ก็คือกรณีกลุ่มเก่าได้กับกลุ่มใหม่ได้
 

กรณีแรก

หากกลุ่มเก่าที่เป็นรัฐบาลตอนนี้ได้นั่นหมายความว่า เป็นการพลิกโผจาก poll ที่เป็นอยู่ตอนนี้เพราะจากการคาดการณ์ตอนนี้โอกาสที่กลุ่มใหม่จะได้จัดตั้งรัฐบาลมีโอกาสสูงกว่าหากดูจากโพลต่างๆ เพราะฉะนั้นหากเกิดการพลิกโผกลับมาได้แปลว่าการคาดการณ์หรือความคาดหวังจะผิดซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดการผิดของการคาดการณ์จะทำให้หุ้นเกิดแรง panic sell ลงมา รวมไปถึงก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนคาดหวังการเปลี่ยนแปลงก็จะตรงกันข้ามการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดตามหวัง ก็จะยิ่งทำให้หุ้นลงมาอีก สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นหลังจากนั้นคือหุ้นจะซึมและเป็นการซึมค่อยๆ ลง สิ่งเดียวที่จะดันตลาดหุ้นขึ้นได้ก็คือการที่เงินทุนจากฝรั่งจะไหลเข้ามาไม่เช่นนั้นในกรณีแรกโอกาสที่หุ้นจะขึ้นแรงนั้นยากมาก

กรณีสอง

หากเป็นกลุ่มใหม่ที่ชนะแน่นอนว่าทุกอย่างก็จะเป็นไปตามโพลแต่สิ่งที่จะตามมาก็คือนักลงทุนจะกลัวหุ้นที่มีการเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาหรือสัมปทาน ยกตัวอย่างเช่นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่คนจะกลัวว่าจะโดนยกเลิกสัญญาหรือไม่ เพราะฉะนั้นในช่วงแรกก็จะทำให้หุ้นโรงไฟฟ้ากับหุ้นสัมปทานลงมาและอย่าลืมนะครับว่า ตลาดหุ้นไทยบ้านเรานั้น หุ้นไฟฟ้ากับหุ้นสัมปทานมีมาร์เก็ตแคปใหญ่มากพอที่จะกดตลาดได้ ต่อให้ตามหลักความเป็นจริงแล้วพวกสัญญาเหล่านั้นจะยกเลิกไม่ได้ก็ตามหากไปดูสัญญาที่ทำไว้เช่นสัญญากับการไฟฟ้า

ไม่เพียงแค่คนจะกลัวการเปลี่ยนแปลงจากกลุ่มใหม่ แต่สิ่งที่อาจจะตามมาก็คือคนอาจจะกลัวรัฐบาลที่มีเสียงข้างน้อยหรือการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เราอย่าลืมนะครับว่าการจัดตั้งรัฐบาลปัจจุบันนี้มีส.ว.เข้ามาเพิ่ม 250 เสียงซึ่งนั่นหมายความว่าโอกาสในการเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยยังมีอยู่รวมไปถึงหากไปดูหลักรัฐธรรมนูญแล้วไม่ได้มีการระบุไว้ว่า ต้องใช้เวลาภายในเท่าไหร่เพื่อที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้แปลว่าโอกาสในการยืดเยื้อและจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เลยทันทีและยืดเยื้อไปก่อนมีสูงพอเกิดความไม่ชัดเจนนักลงทุนก็จะกลัวและก็จะทำให้หุ้นซึมลงเช่นเดียวกัน

ท่านจะเห็นว่าไม่ว่ากรณีที่หนึ่งหรือสองเกิดขึ้นโอกาสที่หุ้นจะขึ้นนั้นไม่ง่ายแต่หากให้ฟันธงแล้วนั้นโอกาสที่กรณีที่สองจะเกิดมีโอกาสสูงกว่า เพราะฉะนั้นในเชิงกลยุทธ์ของการเล่นหุ้นวันนี้ผมจึงนำเสนอว่าหากสิ่งที่ผมคิดก็คือกรณีที่สองเกิดขึ้นจริงเราจะเล่นหุ้นตัวไหนกันดี

เอาในระยะสั้นก่อนนะครับ ในระยะสั้นก็คือสัปดาห์ก่อนที่จะไปถึงการเลือกตั้งแน่นอนว่าจะเป็นช่วงเวลารีบาวน์แต่จะเป็นการรีบาวน์เพื่อลงเพราะหลังเลือกตั้งหุ้นจะลง ผมจึงจะให้เล่นกลุ่มแบงค์อย่าง SCB TTB แต่เป็นการเล่น Rebound เท่านั้นผมย้ำ

โดย SCB ซื้อ 102-103.5 อย่าให้ต่ำกว่า 99 กรณีขึ้นราคาเป้าหมาย110 - 115

TTB ซื้อ 1.44-1.48 อย่าให้ต่ำกว่า 1.4 กรณีขึ้นราคาเป้าหมาย 1.6 กับ 1.7

 

สำหรับระยะยาว

ในระยะยาวสำหรับท่านที่ซื้อลงทุนหลังเลือกตั้งกลุ่มแรกที่ผมจะแนะนำก็คือกลุ่มแบงค์แน่นอนว่า ไม่ว่าใครจะได้เข้ามาเป็นรัฐบาลแบงค์จะเป็นกลุ่มที่สะท้อนเศรษฐกิจและปีนี้จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจะสามารถทำให้เศรษฐกิจโตกว่าปีที่แล้วแน่นอนเพราะฉะนั้นหุ้นกลุ่มแบงค์โดยเฉพาะตัวใหญ่ เช่น BBL KBANK SCB ก็จะได้รับผลประโยชน์ตรงนี้เข้ามาแต่อย่าลืมว่า สิ่งที่ผมบอกก็คือว่าตลาดก็จะมีแรงขายลงมาก่อนเพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบเข้าไปเก็บให้รอระยะหลายเดือนและให้ตั้งรับแบงค์ใหญ่ในราคาที่ต่ำกว่านี้ 10% - 30%

กลุ่มที่สองก็คือกลุ่มไฟฟ้า ถามว่าทำไมต้องกลุ่มไฟฟ้าก็ต้องย้อนกลับไปว่าถ้าการคาดการณ์ของผมถูกกรณีที่คนกลุ่มใหม่เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล ผมคิดว่าหุ้นกลุ่มไฟฟ้าจะลงมาก่อนแต่หลังจากนั้นหุ้นกลุ่มไฟฟ้าโดยเฉพาะกลุ่มไฟฟ้าตัวใหญ่เช่น GULF EA พอนักลงทุนตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วนั้นสัญญาไม่สามารถถูกยกเลิกได้ก็จะทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นไป เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ซื้อให้รอระยะหลักหลายเดือนเช่นเดียวกัน รอให้ลงมาจนสะเด็ดน้ำให้ราคาต่ำกว่านี้ 10% - 30%