MORE เปิดตัวผู้เล่นรายใหม่...

03 ก.พ. 2566 | 04:00 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

***ความผิดปกติในการซื้อขายหุ้น MORE ในวันที่ 10 พ.ย.2565 มีมูลค่ารวมกันถึง 4,500 ล้านบาท ทำให้โบรกเกอร์ในฝั่ง “ซื้อ” มีภาระที่จะต้องจ่ายเงินให้กับผู้ขายหุ้น MORE จนทำให้ “บล.เอเชีย เวลท์” กลายเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายแรกที่ถูก “สังเวย” การปล้นกลางแดดในครั้งนี้เป็นรายแรก เนื่องจากตรวจพบว่า “บริษัทได้นำเงินของลูกค้าที่อยู่ในความครอบครองของบริษัทไปชำระเป็นค่าซื้อหลักทรัพย์ โดยลูกค้าไม่ได้มีคำสั่ง หรือ ยินยอมให้ดำเนินการดังกล่าว จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ทรัพย์สินของลูกค้า” เป็นเหตุให้ “คณะกรรมการกำกับตลาดทุน” หรือ ก.ต.ท. สั่งระงับการประกอบธุรกิจของ บล.เอเชีย เวลท์ เป็นการชั่วคราว 

และล่าสุด ในวันที่ 27 ม.ค. 2566 ปรากฏชื่อของ บล.จีเอ็มโอ-แซดคอม เข้ามาซื้อหุ้น MORE จำนวน 948.10 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 0.38 บาท จากผู้ที่ขายหุ้นให้จำนวน 4 ราย ได้แก่ อภิมุข บำรุงวงศ์ หรือ ‘ปิงปอง’ ศิริศักดิ์ ปิยทัสสีกุล สามารถ ฉั่วศิริพัฒนา และ วสันต์ จาวลา  

เป็นความกล้า ทั้งที่ในจังหวะนี้ชื่อของ “4 กุมาร” น่าจะเป็นชื่อที่ไม่มีใครอยากที่จะยุ่ง แต่วันนี้ จีเอ็มโอ-แซดคอม “กล้า” แล้วใครจะทำไม 
 

อย่างหนึ่งอาจเป็นเพราะธุรกิจของ บล.จีเอ็มโอ-แซดคอม คือ ธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และการปล่อยกู้เพื่อซื้อหลักทรัพย์ (ปล่อยมาร์จิ้น) ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า การเข้าไปซื้อหุ้น MORE ในครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่การซื้อ...แต่เป็นการรับโอนหุ้นที่มีคนเอาไป “ตึ้ง” เพื่อการหักลบหนี้เนื่องจากเม็ดเงินล้วนยังอยู่ในขั้นตอนการอายัด ทำให้สิ่งที่ผู้เอาหุ้นไปตึ้งจะจ่ายได้ก็มีแค่หุ้นที่ยังไม่ถูกขายนั้น หรือหากมองในอีกมุมก็เป็นได้ที่ทาง “จีเอ็มโอ-แซดคอม” คิดอย่างรอบคอบแล้วว่า MORE ยังจะพอมีศักยภาพจนกล้าที่จะลงมาเล่นด้วยตัวเอง  

สิ่งที่เจ๊เมาธ์อยากจะบอกก็คือ วันนี้ได้มีผู้เล่นหน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ส่วนจะไปซื้อหุ้น MORE มาจากใคร หรือ จะเอาหุ้นไปทำอะไร...อีกไม่นานก็คงจะมีคำตอบ

*** ในที่สุด JKN ก็ต้องยอมถอยให้กับกระแสกดดันเรื่องการเพิ่มทุนและการขายหุ้น “บิ๊กล็อต” ก่อนการเพิ่มทุนของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารอย่าง “แอน จักรพงษ์” ด้วยการปรับสัดส่วนของการขายหุ้น RO ลงจาก 1:1 มาเป็น 2:1 จากจำนวนหุ้นเพิ่มทุนพันกว่าล้านหุ้น เหลือเพียง 589,297,523 หุ้น โดยขายในราคา 3 บาทเท่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ยังพยายามสร้างความมั่นใจว่า ราคาหุ้นจะไม่ร่วงหนัก หลังการเพิ่มทุนด้วนการขายหุ้นแบบ PP จำนวน 66,666,666 หุ้น หรือ คิดเป็น 8.25% ของทุนชำระแล้วหลังเพิ่มทุนให้แก่ บริษัท ยูนิสเตรทช์ จำกัด ในราคา 4.25 บาท/หุ้น ตามออกมาด้วย ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรง การแก้เกมในครั้งนี้ก็อาจจะลดกระแสกดดันลงมาได้ไม่น้อย

ส่วนหลังจากการเพิ่มทุนแล้วอนาคตราคาหุ้นของ JKN จะขยับไปในทิศทางใดก็ขึ้นอยู่กับตัวของผู้บริหารอย่างแอนนั้นเอง เพราะหากเล่นเกมมากเกินไป สิ่งที่เกิดจากมูลค่าหุ้น ก็จะสะท้อนตัวตนของแอนออกมาให้สังคมได้ตัดสิน ถ้าทำดีก็ดีไป ...แต่ถ้าไม่ดีก็คงโทษใครไม่ได้เจ้าค่ะ
 

*** การที่ราคาหุ้นของ STGT ปรับราคาขึ้นมาจากจุดต่ำสุดที่ 8.65 บาท หลังจากที่ผลการดำเนินงาน 3 ไตรมาสที่ผ่านมาไม่ค่อยดีนัก แต่กำไรที่ลดลงนี้ไม่ใช่การขาดทุน ดังนั้น เมื่อลงไปได้ก็ต้องขึ้นไปได้เป็นธรรมดา เพียงแต่ว่าการรีบาวด์ในทางเทคนิคแบบนี้ มักจะอ้างอิงไปถึงตัวเลขของผลการดำเนินงานในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเมื่อนำเอาผลงานไปเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุด มันก็ทำให้ปัจจุบันดูแย่กว่าที่ควรจะเป็น

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราคาหุ้นของ STGT จะยังคงติดหล่มไปอีกพักใหญ่ๆ เอาเป็นว่านักวิเคราะห์จากหลายสำนักที่คาดการณ์ยังไม่ดี ช่วงนี้ยังไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่ง หุ้นที่มีรายได้หลักทางเดียวแบบนี้ ถ้าไม่มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาก็บอกเลยว่าอีกนานกว่าจะฟื้น

*** ต้องยอมรับว่าปัญหาเรื่องราคาถ่านหินที่ปรับลงมามากส่งผลกระทบกับราคาหุ้นของ BANPU อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นปัญหานี้จะยังไม่ส่งผลกระทบกับผลการดำเนินงานงวดปี 65 ขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก ต่างมองตรงกันว่า ราคาของถ่านหินจะยังวิ่งล้อไปกับราคาน้ำมันดิบไปอีกอย่างน้อยจนถึงช่วงกลางปี 

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าการที่ราคาหุ้นของ BANPU ที่กำลังพักเพื่อปรับฐานราคาซึ่งถึงแม้ว่าจะไปไหนได้ไม่ไกล แต่ก็จะไม่ลงต่ำลงไปมากกว่านี้จนเกินไปนัก ขณะเดียวกันแนวโน้มผลการดำเนินงาน 4/65 ที่กำลังจะออกมาก็มีแนวโน้มว่า ยังไปได้ดี ดังนั้น ถ้าจะมองเรื่องหุ้นหลุมหลบภัย...หุ้นตัวนี้ก็ยังถือว่าใช้ได้อีกตัวค่ะ