thansettakij
สงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0

สงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0

13 เม.ย. 2568 | 22:35 น.

สงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนเป็นต้นมา การประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกอยู่ในสภาวะที่ปั่นป่วนสุดๆ บทความครั้งที่ผ่านมา ผมได้กล่าวถึงวิธีการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ดังกล่าว เปรียบเสมือน “ระเบิดนิวเคลียร์”ลูกใหญ่ ที่กำลังจะทำให้ชาวบ้านตาดำๆ หลายแห่งในโลกนี้ เดือดร้อนกันไปตามๆ กันเลยครับ

แม้ส่วนตัวผมจะมีความเชื่อว่า ประเทศเมียนมาจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงการนโยบายดังกล่าว แต่แน่นอนว่า ผลกระทบทางอ้อมของนโยบายนี้ เมียนมาแม้จะปิดประเทศ(ที่ไม่ได้ปิดสนิท) ก็หลีกไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วยครับ จะเห็นว่าสงครามครั้งนี้ มีผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวเป็นวงกว้างมากๆ ประเทศข้างเคียงกับเรา ไม่ว่าจะเป็นประเทศกัมพูชาและเวียดนาม ต่างเร่งรีบแสดงตัวแสดงตนยอมแพ้อย่างราบคาบ โดยหมายมั่นปั้นมือว่า จะได้รับความเมตตาจากยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่า คงจะยากที่เจ้ายักษ์ใจดำอำมหิตตัวนี้ จะเมตตาใครง่ายๆ ครับ

เราจะเห็นว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีคนพูดถึงเรื่องการประกาศนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) นี้มาโดยตลอด และจะยังคงเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในช่วงสอง-สามต่อจากสัปดาห์นี้ไปอีกแน่นอน ส่วนตัวผมเองก็ได้ออกมาพูดเรื่องนี้ตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ 4 เมษายนผ่านมา โดยผ่านการให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุว่า การยอมแพ้ของเวียดนาม เป็นการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดเลย เพราะนั่นจะทำให้ยักษ์ตนนั้นมีความมั่นอกมั่นใจในการกระทำของตนเอง ที่ไม่มองหน้าอินทร์หน้าพรหม อีกทั้งยังทำให้การเร่งนโยบายดังกล่าว จะต้องหนักหน่วงยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่รัฐบาลจีนได้ดำเนินการตอบโต้ ด้วยมาตรการ 4 แนวทางหลัก ซึ่งก็เป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ไว้ครับ เราจะเห็นบทสัมภาษณ์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้ฟังแล้วรู้สึกว่าเขามีความอหังการ์มาก อีกทั้งได้เห็นการเล่นงานคู่แข่งทางการค้าอื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมด

ในส่วนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังที่ทรัมป์ประกาศไปแค่วันเดียว รัฐบาลจีนก็รีบออกมาประกาศ 4 มาตรการตอบโต้ทันทีครับ เรามาดูกันว่าเขาเล่นบทตอบโต้กันอย่างไรบ้าง?

มาตรการที่ 1. ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐอเมริกา จีนประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สูงสุดถึง 84% ครอบคลุมสินค้าหลายหมวด เช่น รถยนต์ สินค้าเกษตร เครื่องจักร และเคมีภัณฑ์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2025 เพื่อตอบโต้การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจีนสูงถึง 104%

มาตรการที่ 2. ยื่นฟ้องสหรัฐฯ ต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจีนใช้ช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศ โดยการยื่นเรื่องต่อ WTO เพื่อร้องเรียนว่าสหรัฐอเมริกาได้ละเมิดต่อหลักเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ ถือเป็นการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม งานนี้เป็นเรื่องที่สหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตก มักจะใช้ช่องทางลักษณะนี้มาเล่นงานประเทศที่เล็กกว่าเสมอ

มาตรการที่ 3. ขึ้นบัญชีดำบริษัทสหรัฐอเมริกา หรือบัญชีรายชื่อ “องค์กรที่ไม่น่าเชื่อถือ”(Unreliable Entity List) ห้ามทำการค้ากับบริษัทจีน ถูกจำกัดการลงทุนหรืออาจจะถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจ การตรวจสอบการผูกขาดและปลอดภัยด้านข้อมูลจีนเปิดการสอบสวนบริษัทสหรัฐที่เข้ามาลงทุนในประเทศจีน เช่น Apple Qualcomm Intel Micron โดยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดการดำเนินธุรกิจบริษัทเหล่านี้ในประเทศจีน และจำกัดการจัดซื้อหรือความร่วมมือในทางการค้าทั้งหมด ที่เห็นๆ ค่อนข้างจะส่งผลกระทบบริษัทของสหรัฐอเมริกา ก็คือการจัดซื้อเครื่องบินโดยสารจากบริษัทโบอิ้ง ยักษ์ใหญ่ทางด้านการบินพลเรือน ซึ่งประเทศจีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก สำหรับอุตสาหกรรมการบินพลเรือน ซึ่งจะทำให้คู่แข่งอย่างแอร์บัส(Airbus) ได้โอกาสเข้าเสียบแทนในตลาดการบินพลเรือนในทันทีเลยครับ

นอกจากนี้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจของทางการจีน ต้องถูกสั่งห้ามใช้งานผลิตภัณฑ์ หรือบริการจากบริษัทในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร รัฐบาลจีนมีการพิจารณาและประกาศรายชื่อบริษัทอเมริกันบางราย ที่ “เป็นภัยต่อความมั่นคงของจีน” หรือมีพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยจำกัดหรือห้ามการดำเนินธุรกิจในประเทศจีน ทันทีที่มีการประกาศ เราก็ได้เห็นข่าวการขนส่งสินค้าของไอโฟน (iPhone) ทางเครื่องบินหลายลำ ก่อนที่กำหนดการดำเนินการของทางศุลกากรจีน

มาตรการที่ 4. ควบคุมการส่งออกทรัพยากรและเทคโนโลยีสำคัญ รัฐบาลจีนเริ่มใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth Elements) และเทคโนโลยีขั้นสูงบางรายการ ที่สหรัฐอเมริกาต้องพึ่งพาสินค้าจาก เช่น วัสดุสำหรับผลิตแบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ งานนี้หนักมาก เราให้เห็นถึงการดิ้นรนของบริษัทหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแน่นอนว่าวัตถุดิบที่บริษัทเหล่านั้นใช้ ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาอาศัยบริษัทในจีนทั้งนั้น

นอกจากมาตรการดังกล่าว รัฐบาลจีนยังมีหมัดเด็ดเหลืออยู่ในมืออีกหลายกระบวนท่า ที่พร้อมจะเปิดหน้าชก ซึ่งท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้พูดออกอากาศว่า “คนจีนไม่รังแกใคร และไม่กลัวใครจะมารังแกจีน” ผมจึงเชื่อว่า เราน่าจะเห็นกระบวนท่าแปลกๆ ใหม่ๆ ปล่อยออกมาอีกเป็นระยะๆ ครับ งานนี้คนที่ได้รับเคราะห์กรรมจริงๆ จึงน่าจะเป็น “ประชาชนชาวอเมริกัน”นั่นแหละครับ

บริบทของสงครามการค้ายุคทรัมป์ 2.0 นี้ หากมองเผินๆ เสมือนหนึ่งว่าเป็นแค่สงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยการเอาประเทศอื่นๆ อีก100 กว่าประเทศเป็นตัวประกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นว่า สหรัฐอเมริกาต้องเปิดศึกหลายด้าน ซึ่งทั่วทุกภูมิภาคของโลกล้วนเป็นผู้ถูกกระทำทั้งหมด ซึ่งเราต้องจับตารอดูขุนพลกระบี่ไร้เทียมทานอย่างท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ว่าจะสามารถเสริมวิทยายุทธ ในการดึงเอาประเทศที่ถูกกระทำในครั้งนี้ เข้ามาเป็นพันธมิตรทางการค้าได้มากมายแค่ไหน ผมเชื่อว่าศึกครั้งนี้คงใช้เวลาทั้งสองคู่ชกนี้ไม่นานอย่างแน่นอน อย่างเก่งก็คงไม่ถึงสองไตรมาสหรอกครับ เราคงได้เห็นอเมริกาคางเหลืองแน่ๆ อย่างไรก็ตามในฐานะลูกหลานขงจื๊อคนหนึ่ง ผมเอาใจช่วยจีนอย่างเต็มๆ เลยครับ