NEX เรื่องของจังหวะและโอกาส!

17 พ.ค. 2567 | 07:30 น.
2.9 k

NEX เรื่องของจังหวะและโอกาส! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3993

*** ราคาหุ้นของ NEX ร่วงลงต่อเนื่องเกือบ 3 ฟลอร์ หลังมีข่าวว่าหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่คนหนึ่งถูกบังคับขายหุ้น (Force Sell) จนเป็นเหตุให้บริษัทที่ถึงแม้ผลงานอาจจะไม่ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ ราคาหุ้นร่วงลงแรง ว่าแต่ทำไมจึงเป็นแบบนี้...เจ๊เมาธ์จะเล่าให้ฟัง

อย่างแรก เจ๊เมาธ์ต้องบอกก่อนว่า ก่อนที่ NEX จะแจ้งผลการดำเนินงาน 1/67 ก็มีข่าวว่าบริษัทฯ อาจไม่สามารถส่งมอบรถเมล์ไฟฟ้าได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากลูกค้าที่สั่งซื้อรถ มีจำนวนพนักงานขับรถน้อยกว่าจำนวนรถอยู่เกือบพันคัน 

ขณะเดียวกัน NEX ก็ต้องนำรถยนต์ที่ผลิตเสร็จแล้ว ไปดัดแปลงเพื่อให้ขายได้ จนทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้อาจไม่ดีนัก ส่งผลให้ราคาหุ้นของ NEX ปรับลงมาเรื่อย

อย่างที่สอง เป็นเรื่องของการถูกบังคับขาย (Force Sell) เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้นเข้าค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้น และเมื่อราคาหุ้นของ NEX ปรับร่วงลงหนัก จนเป็นเหตุให้มีหุ้นล็อตใหญ่ถูกเทออกมา และกลายเป็นต้นเหตุของภาวะแตกตื่น (Pannic) จนทำให้กลุ่มนักลงทุนรายย่อย เริ่มเทขายหุ้นตามออกมา จนทำให้ราคาหุ้นของ NEX ร่วงลงเกือบ 3 ฟลอร์ อย่างที่เห็น

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดราคาหุ้นของ NEX สามารถกลับมายืนราคาได้อีกครั้ง เนื่องจากผลการดำเนินงานที่แม้จะบอกว่าไม่ดี แต่บริษัทฯ ก็ไม่ได้ขาดทุน ขณะที่ภาวะแตกตื่นที่เกิดขึ้นได้จากการถูก Force Sell ก็จืดจางลงไป เนื่องจากพื้นฐานที่มีก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป 

ดังนั้น เรื่องราคาหุ้นของ NEX จึงเป็นจังหวะและโอกาส ประมาณว่าใครจับจังหวะได้ก็ได้ของถูก...เรื่องมันก็มีเท่านี้เองเจ้าค่ะ

 *** แม้ว่าไตรมาสที่ 1/67 หุ้นกลุ่มบริษัทตัวเจ อย่าง JMART JMT SINGER SGC และ J จะมีผลงานออกมาดีกว่าที่คิด แต่ดูเหมือนไม่ได้รับการตอบรับในเชิงราคาหุ้นมากนัก 

ไม่แน่ใจว่านักลงทุนลงไปดูถึง การตั้งเป้ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Market Cap) ของทั้งกลุ่ม JMART ทั้งหมดรวมกันในปี 67 ว่าจะเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 5 แสนล้านบาท จากช่วงตั้งเป้าที่ปรากฏออกมานั้น มูลค่าตลาดอยู่ที่สัก 2 แสนกว่าล้าน แต่จนถึงวันนี้พบว่า Market Cap ของหุ้นกลุ่มบริษัทตัวเจ อยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านบาทเท่านั้นเอง

...แม้ว่าผลการดำเนินงานที่อาจจะดูดีขึ้นของบริษัทหลักในกลุ่มตัวเจ อย่าง JMART ที่ไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิ 235.8 ล้านบาท ขณะที่ SINGER รายงานกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 843 ล้านบาท ส่วนทาง SGC มีกำไรสุทธิ 18 ล้านบาท แต่ JMT “พี่ใหญ่” ของกลุ่มกลับมีกำไรลดลงเหลือ 418 ล้านบาท ลดลงมาถึง 7.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ก็เป็นอะไรที่ต้องดูอยู่ 

แต่ถ้าจะดันมาร์เก็ตแคปทั้งกลุ่มไปที่ 5 แสนล้าน อย่างที่ประกาศ กระทั่งไปถึง 2 แสนล้าน อย่างที่เคยเป็น นั่นหมายถึงราคาหุ้นต้องเพิ่มอีกเท่าตัว ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากและท้าทายในการปีนป่ายภูเขาสูงชัน   

 เอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่ต้องคิดการใหญ่เกินตัว...เอาแค่การที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น ก็หวังเพียงแค่ว่ากลุ่มตัวเจ ทั้งหมดจะรักษาสภาพของการทำกำไรแบบนี้ไปอีกสัก 2-3 ไตรมาส ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ส่วนราคาหุ้น หรือ มูลค่าการตลาด เอาไว้ค่อยมาคิดกันอีกทีนะคะ ตอนนี้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอแล้วค่ะ

 ว่าแล้วก็ไปฟัง “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เขาพูดบ้าง ก็ยังคงยืนยัน Market Cap ของกลุ่ม JMART กลับมาอยู่ที่มูลค่า 5 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน แต่ตอบไม่ได้ว่าจะถึงเมื่อไหร่ เพราะพูดไปแล้วก็จะหาว่าคุย วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ และจะกลับมาแข็งแรงอย่างแน่นอน  

“เราผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ทุกบริษัทฯในกลุ่มจะทำให้ JMART แข็งแรง เรามี สุกี้ตี๋น้อย, JMT และ SINGER ทุกตัวส่งผลให้เรากลับมาแข็งแรงแน่นอน” 

ก็ว่ากันไป...นะเจ้าคะ !!