“เดลตา”หลบไป โอมิครอน 99.95% ครองประเทศไทย

27 มี.ค. 2565 | 07:20 น.
อัปเดตล่าสุด :29 มี.ค. 2565 | 18:24 น.
725

คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย... ว.เชิงดอย

*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3769 ระหว่างวันที่ 27-30 มี.ค.2656 โดย “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย...
    

*** ไปอัพเดทสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคร้ายไวรัส “โควิด-19” โดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ณ วันพุธที่ 23 มี.ค.2565 พบ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 25,164 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,200,521 ราย (ตั้งแต่ 1 ม.ค.65) รวมยอด 3,428,956 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 80 ราย เสียชีวิตสะสม 24,497 ราย หายป่วยเพิ่ม 24,770 ราย หายป่วยสะสม 993,837 ราย 

*** ผู้ป่วยกำลังรักษา 237,128 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวในโรงพยาบาล 1,496 ราย ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก อยู่ที่ 474,033,239 ราย เพิ่มขึ้น 1,642,470 ราย ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก สะสมอยู่ที่ 6,121,428 ราย หายป่วยสะสม 409,993,782 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 1,386,043 ราย 


*** มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “ไวรัสโควิด-19” ที่แพร่ระบาดอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ออกมาเปิดเผยถึงสายพันธุ์โควิด ว่า จากการเฝ้าระวังวังสายพันธุ์โควิดในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 12-18 มี.ค.2565 สุ่มตรวจเกือบ 2,000 ราย พบว่าเป็น “เดลตา” เพียง 1 ราย คิดเป็น 0.05 % ที่เหลือเป็น “โอมิครอน” ทั้งหมด คิดเป็น 99.95 % นอกจากนี้ยังพบ “เดลตาครอน” (ลูกผสมระหว่างพันธุ์เดลตา+โอมิครอน) ในไทย 73 ราย 
 

*** นพ.ศุภกิจ บอกว่า “เดลตาครอน” ที่พบในไทย 73 ราย ไม่ต้องตกใจ เพราะถ้า “เดลตา” ลดลงเรื่อยๆ โอกาสที่จะมาผสมกับโอมิครอนก็น้อยลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีเดลตาเหลือให้ผสมแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่ว่าเจ้า “เดลตาครอน” ที่พบแล้วนั้น มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชอะไรหรือไม่ เช่น แพร่เร็ว อนาคตก็อาจจะเห็นการแพร่แทนโอมิครอน แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นวี่แววว่าเป็นแบบนั้น ในส่วนความรุนแรงก็ไม่ได้มีข้อมูล ขณะที่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ก็ยังจัดชั้น “เดลตาครอน” ว่า เป็นสายพันธุ์ที่ต้องตามดูข้อมูล ยังไม่ได้จัดชั้นว่าเป็นสายพันธุ์น่าสนใจ หรือน่าห่วงกังวล แต่ก็ต้องติดตามดู
    

*** มีคำชี้แจงมาจากรัฐบาลถึงการคลอด “10 มาตรการลดค่าครองชีพ” ให้กับประชาชน โดย ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาล ชี้แจงถึงเหตุที่ต้องออกมาตรการดังกล่าวว่า เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบความลำบากของประชาชนที่เกิดขึ้น จากสถานการณ์ความผันผวนของราคาพลังงาน จากความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้าและบริการต่าง ๆ ทำให้ “ค่าครองชีพ” ปรับตัวสูงขึ้น จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเร่งด่วน บรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมัน เพิ่มเติมจากนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลได้ออกไปแล้วและยังใช้อยู่ มีประชาชนที่ได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน ในวงเงินไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท 
    

*** สำหรับ “10 มาตรการลดค่าครองชีพ” ที่ออกมาประกอบด้วย 1. การเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3.6 ล้านคน โดยเพิ่มเงินจากเดิม 45 บาท เป็น 100 บาท / 3 เดือน 2.ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม เดือนละ 100 บาท สำหรับผู้ค่าหาบเร่แผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนประมาณ 5,500 คน 3.ช่วยเหลือค่าน้ำมันให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก จำนวน 157,000 คน โดยช่วยลดค่าใช้จ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 250 บาทต่อเดือน 4.คงราคาขายปลีกผู้ที่ใช้ก๊าซ NGV ไว้ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม 5. ผู้ขับขี่แท๊กซี่มิเตอร์ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน สามารถซื้อก๊าซได้ในราคา 13.62 บาท/กิโลกรัม
    

*** 6.ลดภาระค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยลดค่า Ft ลง 22 สตางค์ต่อหน่วยในช่วงเดือน พ.ค.- ส.ค. 7. ตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.2565 หลังจากนั้น รัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือส่วนที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่ง 8.กำกับดูแลการปรับราคาก๊าซหุงต้มในช่วงตั้งแต่เดือน เม.ย.- มิ.ย. โดยใช้กองทุนน้ำมันเข้าไปช่วยลดผลกระทบจากการปรับราคาให้ไม่ขึ้นสูงเกินไป 


***9.ลดอัตราเงินสบทบของนายจ้างและลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 จาก 5% เหลือ 1% เพื่อให้ลูกจ้างและนายจ้างสามารถมีกำลังในการใช้จ่ายและผู้ประกอบการสามารถมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจในช่วงถัดไป และ 10. ลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 จาก 9% เหลือ 1.9% และลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ลงเหลือ 42 – 180 บาทต่อเดือน ...โฆษกรัฐบาลย้ำว่า มาตรการชุดนี้ จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากครัวเรือนได้จริง เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวอย่างน้อยได้ไม่ต่ำกว่า 3% ...จริงหรือพี่จ๋า...