บ้านใหญ่ โลงจำปา

26 ก.พ. 2565 | 11:09 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ก.พ. 2565 | 18:41 น.
1.9 k

คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

รถเบนซ์ w123 นั้นฝรั่งสตุ้ดการ์ดประดิษฐ์มาอย่างดี เเข็งแรง ทนทาน ขับเบา นั่งสบาย ไม่เทอะทะ ไม่มีชื่อเรียกอะไร เปนชื่อเล่นอย่างว่าพวกหางปลาเรียก fintail พวกขนของ เรียกหัวแตงโม เขายังคงเรียกกันว่า รถ 123  แต่ฝรั่งไม่ออกเสียง วัน_ทู_ทรี ออกว่าวัน_เทว็นตี้ทรี แปลกดี 
 

เจ้าสัวผู้ใหญ่ในดงเยาวราชท่านมีจอดใช้ไว้ใต้ถุนบ้าน เรียกมันว่า “กั่วฉ่าเกี้ย” โลงจำปา ค่าที่ว่าแก้มมันจับวงโค้งยิ้มป่องข้าง เหมือนโลงศพชนิดแพงที่ต้องขุดจากซุงทั้งต้น ใส่ศพเจ้าสัวโลงจำปา ราคาเปนแสนล้าน แพงพอๆกะรถดาวสามแฉก

ถามเข้าท่านก็ว่า รถนี่อั้วใช้ต่ออายุๆ ก็ขี่โลงศพทุกวัน กลัวที่ไหนจะต้องลงโลงกันใหม่_เอ้อ!
 

55 ตัวนิยามความตายของจีนและไทยต่างกัน
 

ของปวงจีนเขานั้นเป็นเรื่องเดินทางจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง โลกใบที่ก้าวเข้าไปเรียกว่า แดนอิมกังปรโลก ศพเขาไม่เผา นอนนิ่งอยู่ในโลงจำปา และไปเก็บอยู่ช้าๆในสุสานฮวงซุ้ย ให้ลูกหลานกราบไหว้ ตัวเองซึ่งย้ายข้ามแดนไปแล้วไซร้ก็มีหน้าที่ให้คุณโทษแก่ลูกหลานต่อไปหากไหว้ไม่ดีพลีไม่ถูก

อันคนระดับเจ้าสัวนั้นเขาต้องวางแผนการตาย ไปเลือกหาซื้อที่ดินมีเนินสวยมีแอ่งน้ำดี มี ‘แสงที่’ เอาไว้เปนถิ่นพำนักยามหมดเวลาจากภพชาตินี้ เรียกกันอีกทีก็ว่า ฮวงจุ้ย/ฮวงซุ้ย
 

จากนั้นจึงไปเลือกไม้สักไม้ตะเคียนไปจ้างทำโลง แต่งขัดสลักเสลาให้สวยงาม บานปลายบานหัวเปนทรงจำปา_เตรียมไว้ ตอนตายจะได้ไม่ผลุบผลับเงอะงะ (คนมีวิสัยทัศน์ก็งี้ มิน่าได้เปนเจ้าสัว) อีตรงนี้แหละท่านเรียกกันว่าไปหาซื้อ “บ้านใหญ่”-ตั่วฉู่หาได้เปนคำเรียกครอบครัวผู้ทรงอิทธิพลประจำแต่ละจังหวัด ซึ่งมีลักษณาการเปิดประตูบ้าน 24 ชั่วโมงให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งพากันมาร้องเรียนความเดือดร้อนต่างๆเพื่อบรรเทาแก้ไขไม่
 

บางคนบอกรถเบนซ์ 124 สิต่างหากโลงจำปา 55 ก็ไม่รู้ว่าเคยนอนโลงว่าโลงกับเขาไหม? เจ้าสัวผู้ดีจีนเขาไม่ได้รวยกันมาในเจนเนอเรชั่นเดียวมีเงินปุบปับเปนสารวัตรจิงโจ้เมื่อไหร่กันเล่าไอ้นิทานเสื่อผืนหมอนใบนั่น_พักไว้เถิดเขาใช้รถ พอนทอน มาแต่รุ่นปู่ พ่อเขาใช้เฮกฟอส ฟินเทลหางปลา ต่อเนื่องมาก็ทับแปด แล้วจึงเปลี่ยนเปน 123 โลงจำปา ก็วันที่ของใหม่มา เปน 124 เขาปลดระวาง 123 คนมาถามกึ่งเเซว ว่ายังงายๆ เปลี่ยนรถใหม่ ไม่ขี้เหนียวอีกรึ ไหนว่าขี่โลงเอาเคล็ด?
 

ก็ต้องแก้ไปว่า นี่ก็โลงจำปาเว้ย แต่ว่าโลงใหม่ !!
 

เท่านั้นผู้คนก็ตัดตอนจำขี้ปากแต่ช่วงท้ายไปบอกว่า 124 โลงจำปา พาให้เยาวชนสับสน ว่ามันโลงตรงไหน? เส้นแข็งสันเหลี่ยมซะขนาดนั้น
 

อันรถ 123 มันมีหลายตัว เครื่องดีเซลก็มี ทนทานมหาประลัย เยอรมันออกแบบไว้ตอนไปบุกแอฟริกามีห้าสูบ และไม่ต้องซ่อมเครื่องหรือบำรุงรักษาตลอดชีวิต_อ้าวแอฟริกายุคนั้นมันมีแต่ป่า กะ ยีราฟ! ไปหาอู่ไหนทำเล่า
 

ทีนี้ก็จะเล่าต่อถึงว่า ยามเมื่อถึงเวลาลาจากแล้ว กับท่านผู้ใหญ่เจ้าสัวอย่างนี้ มันก็จะต้องมีแบบธรรมเนียมไปเคารพศพพวกท่าน ซึ่งเปนแบบธรรมเนียมชนิดอันว่าถ่ายทอดบอกกล่าวกันเองอยู่ในวงวาน ดูเอาจากประสพการณ์บ้าง รุ่นต่อรุ่นบอกกันมาบ้างก็นับว่าเปนโอกาสอันดีได้ต่อเนื่องถึงการไปร่วมพิธี_บ้านใหญ่
 

ก่อนอื่นนั้นขอได้ระแวดไว้ให้ดีว่าการพิธีดั้งเดิมจริงๆในหมู่ผู้ดีจีนจริงๆนั้นอาจไม่เหมือนที่ประยุกต์แบบไทยเข้าไปนัก ยามท่านเหล่านี้หมดลมหายใจแล้วเขาอาจเชิญให้ไปเปนผู้มีเกียรติตอกตะปูฝาโลงเอาก็ได้
 

ตะปูนี้มี 4 ตัว รองด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง แต่ว่าคนที่ได้รับเกียรติจะต้องตอก 6 ที ทำทีว่ามี 6 ตัว_นั่น!
 

ถามว่าตอกด้วยอะไร? ค้อนรึก็มิใช่ เขาให้ตอกด้วยสันขวานซึ่งด้ามขวานหุ้มแพรแดง เจ้าภาพที่จริงจังเขาทำการตั้งแถวทายาทซึ่งนุ่งผ้าดิบ ห่มผ้ากระสอบเข้าแถวรับส่งขวานด้ามแดงนี้เปนพิธีจริงจังเสียด้วย!!
 

อีทีนี้ก่อนจะตอกตะปูนั้น ก็ต้องดูด้วยว่าท่านผู้วายชนม์ มีคุณวุฒิ วัยวุฒิสูงกว่ามากไหม ถ้าห่างสัก 15-30 ปี เปนที่เคารพนับถือ อย่างนี้ยืนโค้งคารวะไม่พอ ต้องคู้คู่เข่าลงคำนับด้วย เจ้าพิธีฝ่ายจีนเขาจะไม่กำกับยามเมื่อไปโค้งด้วยเกรงใจแขกผู้มีเกียรติ แต่ถ้าเเขกผู้มีเกียรติไม่รู้พิธีก็เหมือนดูเบาผู้ตายและวงศ์วานอยู่ในที ด้วยเหตุที่มีลักษณะเสียมารยาท  หลายคราวยามเมื่อเอาศพเข้าบรรจุในโลง_บ้านใหญ่นี้ ประดาทายาทจะขอเชิญท่านผู้มีเกียรติช่วยตรวจดูการวางศพ ว่าตรงเป๊ะตรงกลางกึ่งของโลงหรือไม่ ด้วยศาสตร์ลึกลับฝ่ายการฝังศพจีนนี้เปนที่รู้กันว่า ถ้าท่านผู้ตายนอนเอียงไปทางหนึ่งจะมีผลต่อลูกชายนอนเอียงไปอีกทางหนึ่งจะมีผลต่อลูกสาว ด้วยว่าทรัพย์ที่ผู้ตายจะอำนวยบันดาลให้ต่อไปจากโลกแดนอิมกังที่นอนนิ่งอยู่นั้นอาจมีจำกัด นับแล้วเปน zero sum เกมส์ ถ้าศพพ่อเอียงทางหนึ่งลูกชายได้ลูกสาวเสีย เอียงอีกทางหนึ่งลูกสาวได้ลูกชายเสีย แถมยังเกี่ยวกับลูกคนที่เท่านั้นได้ลูกคนที่เท่านี้เสียอีกด้วย 
 

ในระบบความยึดถือเช่นนี้ ปวงเขายังมีคติอีกว่า อันกองกุศลต่างๆที่พ่อเคยทำไว้ในโลก ต้องดูเวลาที่พ่อตายไว้ด้วย
 

ถ้าพ่อตายเช้า พ่อจะเอาติดมือไปแดนอิมกัง 1/3 ‘ของ’ ที่พ่อมีเหลือ 2/3 ให้ลูกๆ
 

ถ้าพ่อตายบ่าย พ่อเอาไป 2/3 เหลือ 1 ให้ลูก
 

ถ้าพ่อตายค่ำ พ่อเอาไปหมด 3/3
 

แต่ถ้าตายดึกสงัดหลังเที่ยงคืน พ่อทิ้งไว้ให้หมด ไม่เอาไปสักอย่าง (โฮ)
 

อย่างนี้ เวลาทำศพพ่อต้องหุงข้าวเตรียมกับให้พ่อ สักหม้อหนึ่งเปนเสบียงให้พ่อติดตัวเดินทางไกล
 

การศพพ่อเอียงนี้ มีว่าเอียงไปหน้า(หัวโลงด้วย) ลูกคนที่ 2 จะได้โชคลาภจากผีพ่อไปมาก
 

เอียงซ้าย คนโตได้แทน เอียงขวาคนที่ 3 ได้แทนดังนี้
 

ท่านผู้มี “เกียรติ” นั้นจึงสำคัญ เพราะเกียรตินี้นั้นซื้อหากันด้วยเงินทองไม่ได้ นับเปนของสูงที่สุดของมนุษย์คนหนึ่งซึ่งนับถือในตนเองมากพอจะปฏิเสธสิ่งยวนเย้าใดๆ อันจะนำมาซึ่งความสามารถแห่งการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้คนอื่นๆได้ ส่วนยศนั้นจะละไว้ไม่ขอกล่าวถึง
 

ผู้มีเกียรติบางคนนอกจากไม่มียศแล้ว ยังไม่ใช้ของแพงอีก แต่ทว่ากลับได้รับความนับถือก็มีมาก ชีวิตของผู้มีเกียรติเหล่านี้นั้นน่าศึกษานัก เมื่อผู้มีเกียรติได้เปนพยานการวางศพโดยกึ่งกลางแล้ว ประดาทายาทได้รับทราบทั่วกันเปนประจักษ์สักขีอุดมพยาน ทีมงานสัปเหร่อ_the undertaker จะนำกระดาษฟางอัดก้อนมายัดแทรกในที่ว่างระหว่างศพกับบ้านใหญ่ เพื่อให้ศพนั้นตรงนิ่งไม่ขยับไหว คงความ “เปนกลาง” ไปจนถึงวันฝัง
 

เมื่อพูดถึงเรื่องทรัพย์สมบัติแล้วก็อดนึกถึงกรณีสำคัญว่า ผู้ตายสามารถหยิบจับทรัพย์สมบัติและโชคลาภติดตัวไปแดนอิมกังได้ ชุดแต่งกายของศพก่อนจะบรรจุลงโลง/บ้านใหญ่นั้น เขาจะต้องเย็บปิดปากกระเป๋าทุกใบให้เรียบร้อย โดยด้ายเย็บปากกระเป๋านี้ห้ามผูกปม เย็บมันไปทั้งยังงั้นทิ้งชาย ก็ให้นึกถึงอีกว่าร้านสูทผู้ชายชนิดช่างจีนออกแบบและตัดให้ ไม่ว่าจะ มาร์โค สยามสแควร์ รึว่า บาวแมน สุริวงศ์, ยูไล บางรัก, เพอร์รี่ สีลม ล้วนแต่นิยมทำกระเป๋าเล็กๆน้อยๆเอาไว้ให้สุภาพบุรุษลูกค้าซุกซ่อของมีค่าของผู้ชายๆทั้งสิ้น ไหนจะกระเป๋าไฟแช็กข้างสะดือที่ใส่อย่างอื่นก็ได้ กระเป๋าปากกาซ่อนในกระเป๋าเสื้อแล้วยังมีกระเป๋าเศษสตางค์ กระเป๋ากุญแจ ซ่อนในกระเป๋าล้วงอีกที 55 เย็บกันอุตหลุดล่ะทีนี้

(ต่อตอน2)


นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 หน้า 18  ฉบับที่ 3,761 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม พ.ศ. 2565