เลือกหุ้นตามผลดำเนินงานอย่างมีสติ

20 ส.ค. 2564 | 08:00 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ส.ค. 2564 | 00:27 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By...เจ๊เมาธ์

*** ช่วงนี้อาจจะเห็นว่าจำนวนผู้ป่วยที่สามารถกลับบ้านได้มีจำนวนที่ใกล้เคียงกับจำนวนผู้ติดเชื้อ เพราะแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายวันที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 หมื่นคนต่อวัน แต่จำนวนผู้ป่วยที่สามารถกลับบ้านได้ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่า 2 หมื่นคนต่อวันเช่นกัน แต่เจ๊เมาธ์ต้องบอกก่อนว่า ผู้ป่วยที่ได้กลับบ้านไม่ใช่เป็นผู้ที่ได้รับการรักษาจนหายป่วยแล้วทุกคน เพราะที่หายป่วยก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ที่มีจำนวนมากกว่าคือ ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นจนสามารถกลับไปดูแลตัวเองที่บ้านพักอาศัยของตัวเองได้ (Home Isolation) ซึ่งถ้ามองอีกนัยหนึ่งก็ถือว่า นี่คือกระบวนการจัดการให้มีเตียงสำรองที่เพียงพอกับจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน 
 

อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนยืนพื้นมากกว่า 2 หมื่นรายต่อวัน ก็ส่งผลให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตที่ขยับสูงขึ้นมาตามสัดส่วนในอัตราที่เกินกว่า300 รายต่อวันเช่นกัน หมายความว่าความรุนแรงในการระบาดของโรค ไม่ได้ลดน้อยลงตามอัตราการเข้าถึงการรักษา หรือ จำนวนเตียงที่มีมากขึ้น 
 

แต่จำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้เสียชีวิตรายวัน ที่ลดจำนวนลงต่างหากจึงจะพิสูจน์ได้ว่า สามารถควบคุมโรคได้จริงหรือไม่นั่นเองเจ้าค่ะ
 

*** ต้องยอมรับว่าหุ้นกลุ่มเรือสินค้าเทกองอย่าง RCL PSL และ TTA โดดเด่นในเรื่องผลการดำเนินงานจริงๆ แต่ถ้ามองในส่วนของเจ๊เมาธ์...เจ๊ก็ยังเห็นว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้ ได้ขยับขึ้นมาจนเต็มมูลค่าไปแล้ว อาจจะมีเหลือให้เล่นรอบสั้นได้อยู่บ้าง แต่ถ้าจะถือในระยะยาวน่าจะมีความเสี่ยงอยู่พอสมควร 
 

เสี่ยงอย่างแรกคือ ความเสี่ยงในเรื่องของค่าระวางเรือ ที่เริ่มจะกลับเข้าไปสู่โหมดการพักตัว เพราะแม้ว่าค่าระวางเรืออาจจะดีไปจนถึงไตรมาสที่ 3 แต่ก็เป็นการดีแบบทรงตัว หรือ อาจจะมีบวกลบบ้างแต่ก็ไม่มาก 

เสี่ยงอย่างที่ 2 คือเรื่องของความสามารถในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นเริ่มถึงทางตัน เพราะใช้ทรัพยากร (จำนวนเรือที่มี) ไปจนเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งหากจะจัดซื้อเรือเข้ามาเพิ่ม ก็อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะได้มา หรือหากจะดำเนินการจัดหาเรือเช่าเข้ามาเสริมกองเรือที่มีอยู่ แต่ถึงตอนนี้ก็แทบจะไม่มีใครปล่อยเรือให้เช่าแล้ว ดังนั้น ถ้าใครสนใจทีหุ้นกลุ่มเดินเรือแบบเทกองเหล่านี้อาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เจ๊เมาธ์ว่ามาด้วยค่ะ
 

*** หุ้นในกลุ่มลีสซิ่งรายใหญ่อย่าง MTC SAWAD และ TIDLOR ยังสามารถโชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่น และเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดจากการโควิด จะมีผลกระทบกับประชาชนทั่วไป กลุ่มผู้ที่ไม่มีเงินเดือนประจำไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่เป็นสถาบันการเงินหลัก เช่นธนาคารต่างๆ ทำให้การเข้าหาแหล่งทุนที่ใช้การวางสินทรัพย์ เป็นหลักประกันจึงได้รับความนิยมมากขึ้น 
 

อย่างไรก็ตาม หากจะเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่าหุ้นลีสซิ่งอย่าง MTC  SAWAD และ TIDLOR ยังมีข้อแตกต่างกันในรายละเอียดที่มากการเรื่องของผลการดำเนินงาน 
 

MTC ปัจจุบันมีสาขาจำนวนมากกว่า 5,200 สาขา ขณะที่ 90% ของกลุ่มลูกค้าอยู่ในอุตสาหกรรมการเกษตร และมีรายได้กว่า 92% จากต่างจังหวัด ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการยกระดับมาตรการควบคุมการระบาดของเชื้อโควิดมากนัก ซึ่งคาดว่า NPL จะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะจากไตรมาสก่อน ขณะที่ MTC ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนมอเตอร์ไซด์จาก 0.63% ต่อเดือน เป็น 0.65% ต่อเดือน ทำให้มีรายได้จากสินเชื่อจำนำทะเบียนมอเตอร์ไซด์คิดเป็น 33% ของสินเชื่อรวม โดยภาพรวมของ MTC ยังสามารโตขึ้นได้อีกตามความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น

ส่วนทางด้านของ SAWAD รายนี้ผลการดำเนินงาน 2/64 ที่ออกมาไม่ดีอย่างที่คิดอาจจะทำให้ราคาหุ้นเกิดการชะลอตัวลงไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วเจ๊เมาธ์ยังเห็นว่า ความต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจะยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ผลงานในช่วงปีหลังของ SAWAD ดูดีขึ้น ทั้งในส่วนของเงินสดทันใจและรายได้จากค่าธรรมเนียมขายประกันภัยของบริษัท ขณะที่การจับมือกับ OR เพื่อเปิดให้บริการสาขาในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น รวมถึงสาขาที่ปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 5,000 สาขา ก็จะทำให้ SAWAD เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นนั้นเอง
 

TIDLOR รายนี้ผลงาน 2/64 ยังไม่โดเด่นเนื่องจากมีต้นทุนสินเชื่อที่ยังสูงมาก ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อก็ดูเหมือนต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และเมื่อมองไปที่เรื่องของจำนวนสาขาที่ไม่สามารถเทียบกับเจ้าตลาดรายเดิม ซึ่งแม้ว่าทาง TIDLOR จะพยายามใช้ตัวช่วยทางด้านเทคโนโลยีเข้ามาเสริมในส่วนนี้ แต่ก็ทำให้โอกาสการเข้าถึงสินเชื่อของกลุ่มเป้าหมาย มีความคล่องตัวน้อยมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด นี่ยังไม่นับรวมเรื่องโอกาสที่ค่าธรรมเนียมในการทวงหนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในรายได้หลักอาจจะถูกปรับลดลง ซึ่งหลายเรื่องที่เจ๊เมาธ์ ว่ามาก็ดูจะเป็นปัญหากับการเติบโตของ TIDLOR มากพอสมควร
 

เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์เอาข้อมูลคร่าวๆ มาเล่าให้ฟังนะคะ ส่วนใครจะสนใจตัวไหนก็ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ค่ะ
 

*** จบเทศกาล ประกาศผลงานไตรมาส 2 แล้ว ก็จะเห็นบริษัทที่มีที่ปรึกษา-ประชาสัมพันธ์ ออกมาอวยเขียน-เขียนเชียร์ผลงานของลูกค้า อ่านกันจนตาลาย แต่สิ่งที่เจ๊เมาธ์ อยากจะบอกนักลงทุนไว้ก็คือ อย่าหวังพึ่งข่าวที่แจกๆ ออกมามากนัก แต่ต้องศึกษาอ่านงบด้วยตัวเอง ให้เข้าใจ หากเป็นงบการเงิน ที่มีหมายเหตุผู้สอบบัญชี ยิ่งต้องให้เวลาศึกษาให้ละเอียดด้วยตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นั้นดีที่สุด
 

ส่วนการพึ่งข่าวแจกนั้น เจ๊เมาธ์ไม่เห็นด้วย เพราะตามธรรมชาติ ประชาสัมพันธ์ หรือเรียกกันสั้น ๆ  พีอาร์ ต้องอวยลูกค้า เชียร์องค์กร เติบโตงั้นงี้  แต่ใส้ใน การเติบโตของกำไร ซึ่งเป็นบรรทัดสุดท้าย อาจไม่ได้โต เหมือนที่เขียนอวย ถ้าไม่ดูและคิดด้วยตัวเองแล้ว อาจทำให้หลงผิดในข้อมูล ของพีอาร์ได้ ...เจ๊เมาธ์ขอเตือนแค่นี้ค่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้หลงผิดกับข่าวผลดำเนินงานทุกไตรมาส